SOCIETY: ประวัติศาสตร์ในห้องเรียนสอนไว้อย่างไร ทำไม ‘ไทย’ ถึงเป็น ‘ผู้ร้าย’ ในสายตาคนกัมพูชา?
ท่ามกลางความขัดแย้งและวาทกรรมเกลียดชังที่ปรากฏในโลกออนไลน์ระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชา ที่ประชาชนของทั้งสองประเทศต่างมีท่าทีขัดแย้ง โจมตี และด่าทอกันเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของชาติตนเอง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ทัศนคติของชาวกัมพูชาที่มีต่อคนไทย ซึ่งอาจมีพื้นฐานมาจากเนื้อหาในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชา BrandThink จึงได้รวบรวมข้อมูลจากบทความของศิลปวัฒนธรรม และงานวิจัยเรื่อง ‘ภาพแทน ‘ไทย’ ในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา’ โดย ชาญชัย คงเพียรธรรม ที่ได้ศึกษาและสรุปภาพไทยในมุมมองประวัติศาสตร์กัมพูชาที่ปรากฏในแบบเรียนไว้
อย่างไรก็ตาม BrandThink ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความเกลียดชังแต่อย่างใด การนำเสนอข้อเขียนนี้เป็นเพียงการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เราเข้าใจมุมมองที่ชาวกัมพูชาส่วนหนึ่งมีต่อประเทศไทย โดยยึดจากข้อมูลตามแบบเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชาเท่านั้น
[ไทยคือกลุ่มคนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน]
ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาของกัมพูชา ได้มีการกล่าวถึงต้นกำเนิดชนชาติไทยไว้ว่า ชาวไทยเป็นผู้ที่อพยพลงมาจากน่านเจ้า จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ในดินแดนประเทศเขมรภาคเหนือแล้วจึงตั้งราชธานีอยู่ที่สุโขทัย ซึ่งคือดินแดนเขมรทางเหนือ อีกทั้งในแบบเรียนยังกล่าวถึง ‘สยาม’ ในจารึกและภาพสลักที่นครวัดว่าหมายถึง ‘คนป่า’ อย่างไรก็ตาม ข้อความบนจารึกจริงไม่ได้มีการเรียกสยามว่า ‘คนป่า’ แต่อย่างใด ปรากฏเพียงแค่คำว่า ‘เสียมก๊ก’ แปลว่า กองทัพเสียม
สะท้อนว่ามีความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแบบเรียนอยู่ในเนื้อหา และปัจจุบันนักวิชาการไทยก็ปฏิเสธทฤษฎีการอพยพจากน่านเจ้าแล้ว แต่กัมพูชายังคงปลูกฝังความคิดที่เป็นชาตินิยมนี้อยู่
[ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนสมัยละแวก]
สงครามที่รุนแรงและมีผลต่อความรู้สึกของชาวกัมพูชามากที่สุดคือสงครามคราวเสียเมืองละแวก (ศตวรรษที่ 16) ทั้งศิลาจารึก พงศาวดาร รวมทั้งแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา ได้เสนอภาพความเสียหายของกัมพูชาในครั้งนั้นว่า
“การแตกหักบันทายลงแวกเป็นเหตุยังประเทศเขมรให้สิ้นฤทธานุภาพ ตกเป็นรัฐเล็กอยู่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วซึ่งเขมรต้องสูญเสียตํารับตําราไปหมด นักปราชญ์บัณฑิตกวีซึ่งถูกศัตรูกวาดต้อนเอาไปประเทศมัน”
ในแบบเรียนกัมพูชาอ้างว่าไทยเนรคุณละเมิดสัญญาปักปันเขตแดน ทำให้กัมพูชาเสียหายหนัก สูญเสียตำราวิชาการ และถูกกวาดต้อนประชาชนไปยังไทย ขณะที่ฝ่ายไทยกลับมองว่ากัมพูชาละเมิดไมตรีก่อน ความขัดแย้งนี้สะท้อนมุมมองที่ต่างกันชัดเจนของทั้งสองฝ่าย
[ไทยพ่ายแพ้พม่า]
แบบเรียนวิชาศึกษาสังคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระบุว่า ไทยไม่ใช่ชาติที่ยิ่งใหญ่ แม้จะเคยมีชัยชนะเหนือเขมร แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พม่าถึงสองครั้ง ในบทเรียนได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความพ่ายแพ้ให้แก่พม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา และความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของไทย หากแต่ข้อมูลดังกล่าวมีความผิดพลาดอยู่ เช่น แบบเรียนกล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นปฐมกษัตริย์แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในขณะเดียวกันยังระบุว่าพระเจ้าบุเรงนองทรงเป็นผู้มีชัยชนะในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แต่ความจริงแล้ว กษัตริย์พม่าผู้มีชัยชนะในสงครามครั้งนั้น คือ พระเจ้ามังระ โดยทรงอาศัยแม่ทัพคู่พระทัยสองคน ได้แก่ มังมหานราธาและเนเมียวสีหบดี
[ไทยเป็นโจรที่ปล้นแผ่นดินและมรดกทางวัฒนธรรม]
ในหนังสือ วิชาศึกษาสังคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ยังระบุอีกว่าไทยเป็นโจรมาแย่งชิงพื้นที่และขโมยศิลปวัฒนธรรมของกัมพูชาไปใช้ เช่น อักษร ศาสนา ศิลปะ การปกครอง และกฎหมาย พร้อมกล่าวหาว่าไทยไม่มีอารยธรรมของตนเอง นอกจากนี้ความป่าเถื่อนของสยามที่ถูกบันทึกไว้อีกประการหนึ่งคือ การส่งกองทัพเข้ามารุกรานดินแดนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น กรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร และกล่าวประชดเรื่องปราสาทเขาพระวิหารว่าไทยแอบอ้างอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้าง
[ตำนานพระโค-พระแก้ว]
ข้อความที่ปรากฏในแบบเรียนของกัมพูชาจะมีการกล่าวถึง ‘พระโค-พระแก้ว’ นิทานพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมที่สุดในสังคมเขมรเรื่องหนึ่ง คนเขมรเชื่อว่า พระโคเป็นสัตว์วิเศษ ที่ในท้องจะบรรจุวรรพวิทยาการต่างๆ ไว้จำนวนมาก หากว่าพระโคประทับอยู่ ณ สถานที่ใด ย่อมทำให้สถานที่นั้นอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง ในตอนจบของนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้เล่าว่า สยามใช้กลอุบายจนสามารถจับตัวพระโค- พระแก้วนำไปไว้ที่ประเทศของตน ทำให้ตั้งแต่นั้นมาสยามจึงเจริญขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกัมพูชาก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลงจนมีสภาพดังที่เห็นทุกวันนี้
[ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยสมัยรัตนโกสินทร์]
แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แสดงออกด้วยสํานวนภาษาและทัศนคติที่คล้ายคลึงกันคือไทยพยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชา และยึดครองเมืองพระตะบองกับเสียมราฐ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่มีขุนนางเขมรบางส่วนเข้ากับไทย
ภาพของไทยสมัยตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในความรู้สึกของแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาค่อนข้างเสนอภาพในด้านลบ และมักเสนอเพียงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากการรุกรานและการเข้าไปยึดครองดินแดนกัมพูชาบางส่วนของไทย รวมทั้งการเกณฑ์เอาชาวเขมรของไทยเพื่อนําไปเป็นกําลังในการสร้างบ้านเมืองไทยเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเมื่อกล่าวถึงประเทศเวียดนามก็ปรากฏภาพเวียดนามเป็นผู้รุกรานกัมพูชาที่คล้ายคลึงกัน
[ความรู้สึกที่กัมพูชามีต่อไทยในศตวรรษที่ 19-20]
ภาพไทยที่ปรากฏในศตวรรษนี้แม้จะมีภาพในแง่บวกบ้าง เช่น กล่าวถึงความช่วยเหลือจากสยามในการปราบขบถพระองค์วัตถา ใน ค.ศ. 1861 แต่ก็แสดงความยินดีเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาช่วยให้ได้ดินแดนที่เสียไปคืนมา เช่น พระตะบองและเสียมราฐ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในปี 1904
นอกจากนั้น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไทยได้ยึดเอาดินแดนบางส่วนของกัมพูชา ทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยต้องคืนดินแดนดังกล่าวให้แก่กัมพูชา หลังจากเหตุการณ์นี้ หนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ไม่ได้กล่าวถึงไทยอีกจนถึงกระทั่งปี 1962 ซึ่งเกิดเหตุการณ์กรณีเรียกร้องเขาพระวิหารคืนจากไทย เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา
[การเมืองไทยวุ่นวาย]
แบบเรียนประวัติศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของกัมพูชาได้พยายามนำเสนอภาพการเมืองไทยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะถูกแทรกแซงจากทหาร และบ่อยครั้งประเทศไทยต้องถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร (Military Dictatorship) นอกจากนี้ยังได้นำเสนอภาพของ ‘ทหารไทย’ ในฐานะ ‘ผู้ร้าย’ ที่แย่งชิงอำนาจไปจากนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกตั้งมา และพยายามนำเสนอเรื่องราวของนายกรัฐมนตรีที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลกัมพูชามากเป็นพิเศษ คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และ ทักษิณ ชินวัตร