สรุปบทเรียนความผิดพลาดของนักลงทุน ในครึ่งแรกปี 2025
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เงินดอลลาร์สหรัฐถือเป็นเสาหลักของระบบการเงินโลก การแข็งค่าของดอลลาร์ไม่เพียงเป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อกระแสเงินทุน การค้าระหว่างประเทศ และการถือครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ความคาดหวังเหล่านั้นถูกท้าทายอย่างหนักด้วยนโยบายใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นเก็บภาษีศุลกากรสูง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดภาษีภาคเอกชน
ผลที่ตามมาคือ ดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงอย่างหนักที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ซึ่งสวนทางกับสมมติฐานเดิมที่คาดว่าการเร่งเงินเฟ้อจะกระตุ้นให้เฟดชะลอการลดดอกเบี้ยและหนุนค่าเงินดอลลาร์ ความอ่อนแอของดอลลาร์ยังส่งผลให้ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ สั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดพันธบัตรที่ต้องพึ่งพาการเข้าซื้อจากต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลของหนี้ภาครัฐ
นี่คือตัวอย่างของบทเรียน ที่นักลงทุนประเมินสถานการณ์ผิดพลาดในครึ่งแรกปี 2025
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความหวังสู่ความผันผวน
เมื่อต้นปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกต่างมั่นใจในหุ้นสหรัฐฯ จากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและกระแสการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นนั้นถูกสั่นคลอนเมื่อสตาร์ทอัพจากจีนอย่าง DeepSeek เริ่มท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ และถูกซ้ำเติมด้วยความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรอัตราใหม่
จากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ สินทรัพย์กว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ในดัชนี Nasdaq 100 สูญมูลค่าไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม ผลสำรวจของ Bank of America ระบุว่านักลงทุนลดการถือครองหุ้นสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว ท่าทีของทรัมป์ที่ตัดสินใจชะลอการเก็บภาษีในช่วงปลายเดือนเมษายนกลับกลายเป็นปัจจัยฟื้นความเชื่อมั่น ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ทะยานกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง พร้อมการกลับมาของแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบัน
สกุลเงินในเอเชีย ผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์
หนึ่งในเรื่องราวที่โดดเด่นของปีนี้ คือการแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่นเกือบ 9% เทียบกับดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย สวนทางกับธนาคารกลางอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเยนกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยนักวิเคราะห์ของ JPMorgan และ Brandywine ต่างเห็นตรงกันกับทิศทางนี้ตั้งแต่ต้นปี
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินหยวนของจีน ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะอ่อนค่าจากแรงกดดันของภาษีศุลกากร กลับสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการแข็งค่าขึ้น 1.8% นับตั้งแต่ต้นปี แม้จะยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่เปราะบาง แต่ธนาคารกลางจีนได้ใช้กลไกอัตราอ้างอิงรายวันเพื่อหนุนค่าเงินอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดเกิดใหม่ ในสมรภูมิที่เปลี่ยนไป
ในช่วงต้นปี 2025 นักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงไม่ให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นยุโรป ท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจซบเซา แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อเยอรมนีประกาศแผนใช้จ่ายทางทหารหลายแสนล้านยูโร เพื่อลดการพึ่งพากองทัพสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนี Stoxx 600 ให้ผลตอบแทนชนะ S&P 500 ถึง 16% และค่าเงินยูโรก็ทะยานขึ้นแตะ 1.17 ดอลลาร์ สวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้า
ด้านตลาดเกิดใหม่ก็กลับมาคึกคักเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีในไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ที่ขับเคลื่อนด้วยกระแส AI ซึ่งเมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของสกุลเงินท้องถิ่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้ปีนี้ตลาดเกิดใหม่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 29 ล้านล้านดอลลาร์
ตลาดตราสารหนี้ กลายเป็นทางเลือกที่มีเสถียรภาพ
ในขณะที่ตลาดหุ้นและตลาดเงินตราเผชิญกับแรงสั่นสะเทือน การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นกลับกลายเป็นทางเลือกที่มีเสถียรภาพ จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางหลายแห่งจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลง กลยุทธ์ดังกล่าวให้ผลตอบแทนดีโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญความกังวลจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรระยะยาวกลับได้รับแรงกดดัน เนื่องจากนักลงทุนเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการกู้ยืมของรัฐบาล นับตั้งแต่ต้นปี ตัวชี้วัด term premium ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุยาวปรับตัวสูงขึ้นชัดเจน โดย Pimco และ BlackRock ต่างแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี
จาก “ความเสี่ยง” สู่ “โอกาส”
ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เป็นเครื่องเตือนใจว่า โลกการลงทุนในยุคหลังวิกฤติโควิดไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเส้นตรงหรือสมมติฐานแบบเดิมอีกต่อไป นโยบายที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน อาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงระบบต่อตลาดโลกได้มากกว่าที่คาด
สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “ความเสี่ยง” หากแต่เป็นโอกาสในการ “คิดใหม่” ถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในเศรษฐกิจโลก ตำแหน่งของตลาดเกิดใหม่ และทิศทางของเงินทุนในอนาคต
การจัดพอร์ตในยุคนี้จึงต้องเปิดกว้างต่อภูมิภาคและสินทรัพย์ที่เคยถูกมองข้าม ในขณะที่ยังต้องเฝ้าระวังปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด