‘มาริษ’ ยัน ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่ใช่ภัยคุกคามสันติภาพโลก UNSC แนะสองชาติคุยกัน
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025) หรือ HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์กว่า ในห้วงการประชุมดังกล่าว ตนเองได้ใช้โอกาสนี้ พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากสหประชาชาติ และผู้แทนระดับสูงประเทศต่าง ๆ เพื่อชี้แจงพัฒนาการชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งตนเองได้ยืนยันให้ทุกประเทศ และผู้แทนระดับสูงของสหประชาชาติได้รับทราบมาโดยตลอดการปฏิบัติภารกิจว่า การปะทะกันเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ฝ่ายกัมพูชา เป็นผู้เริ่มโจมตีก่อน พร้อมแสดงความกังวล ต่อการโจมตีในสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งสะท้อนการโจมตีพื้นที่พลเรือนไทย ทำให้พลเรือนไทยได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงเด็กอายุเพียง 8 ขวบ จึงยืนยันได้ว่า ไม่มีประเทศใด ยอมรับการกระทำเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ การใช้กับระเบิด หรือทุ่นระเบิดสังหาร ทั้งที่กัมพูชายืนยันตลอดว่า เป็นสมาชิกสมาคมระหว่างประเทศ แต่กลับละเมิดหลักการ และกระทำการโจมตีอย่างร้ายแรงโดยไม่เลือกเป้าหมาย และเป็นเป้าหมายพลเรือน ซึ่งไม่เพียงละเมิดอำนาจอธิปไตยไทยเท่านั้น แต่ยังละเมิดกฎหมายสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาไปแล้ว และได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงแล้วเช่นกัน
รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำ โดยเฉพาะการโจมตีพลเรือน และไม่ละเมิดอำนาจอธิปไตยไทยโดยทันที ซึ่งตนเองขอแสดงความเสียใจต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตด้วย
ส่วนกรณีการวางทุ่นระเบิดสังหารใหม่ของกัมพูชานั้น รมว.กต. ยืนยันว่า ไทยมีหลักฐานการพบทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชาในดินแดนไทย ซึ่งกองทัพได้พิสูจน์ชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยต้องสูญเสียขาอย่างถาวร
รัฐมนตรีมาริษ ยังยืนยันว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ด้วยความจริงใจ และสุจริตใจตามกฎบัตรสหประชาชาติอย่างสันติ จริงใจ แต่ฝ่ายกัมพูชา กลับละเมิดอธิปไตยไทย และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก ตนจึงได้เดินทางไปชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศแล้วผ่านเวที HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเวทีที่มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และประชาคมโลกให้ความสำคัญ ซึ่งตนก็ได้ใช้โอกาสนี้ ชี้แจงต่อประชาคมแล้วผ่านการกล่าวถ้อยแถลงแบบเปิด และยังได้พบผู้แทนระดับสูงของประเทศ และองค์การระดับสูงต่าง ๆ เช่น เลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปากีสถาน ซึ่งจะเป็นประธานที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประจำเดือนกรกฎาคมนี้
รวมถึงยังได้พบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของปานาที ซึ่งจะเป็นประธานที่ประชุม UNSC ในเดือนสิงหาคมนี้แล้วเช่นเดียวกัน
พร้อมยังได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประจำอนุสัญญาออตตาวา และหารือผู้แทนของประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้แทนถาวรสหประชาชาติ เพื่อย้ำกับทุกประเทศว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตย พร้อมย้ำท่าทีของฝ่ายไทยในการแก้ปัญหาเขตแดนอย่างสันติ และสุจริตใจผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ และยืนยันว่า กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง จากการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา
นายมาริษ ยังกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาได้ยื่นหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้น นายมาริษ ย้ำว่า นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ได้เข้าพบผู้แทนถาวรของปากีสถาน ซึ่งเป็นประธานที่ประชุม UNSC ในเดือนกรกฎาคมนี้แล้ว และได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่กัมพูชาใช้กำลังทหาร และริเริ่มการโจมตีก่อน ละเมิดพันธกรณีต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง พร้อมยังได้เวียนหนังสือเป็นเอกสารของ UNSC เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้รัทราบแล้วด้วย
ทั้งนี้ การประชุม UNSC แบบปิด ที่ประชุม UNSC ได้ขอให้ไทยและกัมพูชา ใช้ความยับยั้งชังใจในการลดความชัดแย้ง และใช้การเจราบนพื้นฐานการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างกัน พร้อมยังสนับสนุนบทบาทอาเซียนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งตามกฎบัตรอาเซียน และย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ หรือความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่เป็นข้อขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ผ่านการเจรจาอย่างสันติ และสุจริตใจ และที่ประชุม UNSC ก็ไม่ได้มีการออกเอกสารใด ๆ
รัฐมนตรีมาริษ ยังกล่าวขอบคุณนายอันวา อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่เสนอเป็นตัวกลาในการเจรจา ซึ่งประเทศไทยเห็นด้วยในหลักการ แต่กัมพูชา จะต้องแสดงความจริงใจอย่างชัดเจนก่อน เพราะที่ผ่านมา กัมพูชายังโจมตีพื้นที่พลเรือนซึ่งรัฐบาลไทยยอมรับไม่ได้ ดังนั้น กัมพูชาจะต้องแสดงความจริงใจ และยุติการโจมตีประเทศไทย พร้อมย้ำว่า ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับบทบาทอาเซียน เพราะที่ผ่านมา ตนเองก็มีการหารือกับมาเลเซีย, ประธานอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว และว่ากระทรวงการต่างประเทศและไทย ต้องการใช้การเจรจา 2 ฝ่าย บนหลักการสันติวิธี และสุจริตจริงใจในการยุติปัญหา
ส่วนกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชา อ้างและกล่าวหากองทัพไทยรุกราน จนสร้างความเสียหายแก่ปราสาทเขาพระวิหารนั้น นายมาริษตอบโต้ว่า เป็นการกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน และไม่ได้เป็นจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากปราสาทถึง 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่วิถีกระสุนจะไปถึง และฝ่ายไทยจะชี้แจงอย่างเป็นทางการต่อไป
ส่วนกรณีที่กัมพูชากระทำละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศจะยื่นเรื่องถึงอนุสัญญาเจนีวาด้วยหรือไม่นั้น นายมาริษ ยืนยันว่า ยื่นแน่นอน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะอออกหนังสือประท้วง เพื่อประณามอย่างรุนแรง พร้อมให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการประเทศ พิจารณายื่นหนังสือประท้วงทุกช่องทางตามที่สามารถยื่นได้ ทั้งคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC และคณะมนตรีสิทธิมนุษยนแห่งสหประชาชาติ
ส่วนกรณีที่กัมพูชาโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย ฝ่ายไทยจะมีการยื่นเรื่องถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ข้อหาอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศด้วยหรือไม่นั้น รัฐมนตรีต่างประเทศ ชี้แจงว่า ตนเองได้สั่งการให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ พิจารณาเรื่องนี้ก่อนเป็นลำดับแรก เพราะการจะไปถึงจุดนั้นมีรายละเอียดอีกมาก และจะดำเนินการทุกช่องทางที่ไทยสามารถทำได้ ซึ่งฝ่ายไทยได้พูดคุยกันตลอดเวลาเพราะ ICC มีกรอบและขั้นตอนในรายละเอียดที่กำลังพิจารณา แต่เรื่องการใช้ทุ่นระเบิดนั้น ไทยได้ยื่นเรื่องถึงรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาแล้ว