กษัตริย์มาเลย์ฯ เยือนรัสเซีย จุดเปลี่ยนอาเซียนในเวทีโลก?
สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่าน อิบราฮิม อิสกานดาร์ กษัตริย์แห่งมาเลเซีย มีกำหนดการเสด็จเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ 5–10 สิงหาคม 2568 ตามคำเชิญของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน โดยจะมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่พระราชวังเครมลิน และการประชุมหารือทวิภาคีในวันที่ 6 สิงหาคม ณ กรุงมอสโก
การเยือนครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของกษัตริย์มาเลเซีย นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี 2510 แต่ยังเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และรัสเซียกำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติในประเด็นสงครามยูเครน จึงถือเป็นจังหวะที่มีนัยสำคัญทั้งในมิติสัญลักษณ์และยุทธศาสตร์
กระชับความสัมพันธ์มาเลเซีย-รัสเซีย
ตามแถลงการณ์จาก Istana Negara หรือสำนักพระราชวังมาเลเซีย วัตถุประสงค์หลักของการเยือนรัสเซีย คือการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในมิติเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี และการศึกษา โดยเฉพาะในสาขานวัตกรรมและอุตสาหกรรมขั้นสูง
ตามกำหนดการ สมเด็จพระราชาธิบดีฯ จะเสด็จเยือนศูนย์พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งชาติของรัสเซีย (NAMI) และ ‘Tochka Kipeniya Innovation Hub’ ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะเทคโนโลยีชั้นนำของมอสโก รวมถึงการเยี่ยมชมโรงงานผลิตเฮลิคอปเตอร์ในเมืองคาซาน (Kazan) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก
ขณะที่ South China Morning Postรายงานว่า การเสด็จเยือนรัสเซียของกษัตริย์มาเลเซียในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเยือนกรุงมอสโกของ นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการเจรจาครอบคลุมหลายประเด็น เช่น การศึกษา เกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และการป้องกันประเทศซึ่งมาเลเซียมองว่าเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับรัสเซีย
‘มาเลเซีย’ ในบทบาทผู้นำอาเซียน
แม้การเสด็จเยือนรัสเซียของสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่าน อิบราฮิม อิสกานดาร์ จะอยู่ในกรอบความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมาเลเซียกับรัสเซีย แต่บริบทที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาเลเซียกำลังดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนประจำปี 2568 ในขณะที่รัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศคู่เจรจาทางยุทธศาสตร์ของอาเซียนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2539 กำลังเผชิญกับการถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ
ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม จะเคยระบุชัดว่า มาเลเซียต้องการวางบทบาทเป็น ‘ศูนย์กลางที่เป็นกลาง’ (neutral hub) ของภูมิภาค และเรียกร้องให้อาเซียนเปิดกว้างต่อทุกขั้วมหาอำนาจ โดยไม่ผูกติดกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่การเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของกษัตริย์มาเลเซียในฐานะประมุขแห่งรัฐในครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มาเลเซียกำลังดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตาว่า ‘ภาพลักษณ์ของอาเซียน’ ในสายตานานาชาติกำลังเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้จะมีการยืนยันแนวทางวางตัวเป็นกลางต่อความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครน แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศสมาชิกกลับมีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสิงคโปร์เป็นชาติสมาชิกเพียงประเทศเดียวที่ประกาศคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นปี 2565 ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม เลือกวางตัวในลักษณะ ‘เป็นกลางทางยุทธศาสตร์’ (strategic neutrality) หรือหลีกเลี่ยงการแสดงท่าทีอย่างเปิดเผย
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้บทบาทของมาเลเซีย ถูกมองว่าอาจกระทบต่อเอกภาพของอาเซียนในประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งในการออกแถลงการณ์ร่วม หรือกำหนดท่าทีต่อความขัดแย้งระดับโลก เช่น สงครามยูเครน หรือปัญหาในทะเลจีนใต้ หรือกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งประเทศสมาชิกขยับเข้าใกล้มหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเท่าไร “ความเป็นเอกภาพของอาเซียน” ก็ยิ่งสั่นคลอนมากเท่านั้น
ความท้าทายใหม่ ส่งสัญญาณเปลี่ยนสมดุลในอาเซียน
หากมาเลเซียสามารถเจรจาความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับรัสเซีย โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด หรือเกษตรอัจฉริยะ ความสำเร็จนี้อาจกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นในภูมิภาคหันมาทบทวนความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจตะวันตกอาจต้องประเมินยุทธศาสตร์ของตนต่ออาเซียนใหม่ เพราะการแสดงบทบาทเชิงรุกของมาเลเซียอาจกระตุ้นให้เกิด ‘การแข่งขันเชิงข้อเสนอ’ (competitive diplomacy) มากขึ้นในภูมิภาค
ยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางกระแสการจัดระเบียบโลกใหม่ ความเคลื่อนไหวของมาเลเซียในการกระชับสัมพันธ์กับรัสเซียอาจถูกตีความว่าเป็น ‘สัญญาณเตือน’ แก่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือแม้แต่จีน ว่าอาเซียนกำลังเลือกเดินเกมของตนเอง ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับนโยบายจากขั้วใดขั้วหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคมกำลังใกล้เข้ามา และอาจมีผู้นำจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วม การเดินหมากของมาเลเซียครั้งนี้อาจเป็นการวางตำแหน่งล่วงหน้าบนกระดานภูมิรัฐศาสตร์
เมื่ออาเซียนกลายเป็นสนามแย่งชิงพันธมิตร
ในยุคที่โลกกำลังแบ่งขั้วอย่างชัดเจน อาเซียนไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มประเทศในภูมิภาคอีกต่อไป แต่กลายเป็นเวทียุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจต่างจับตามองว่า ใครคือพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และใครกำลังเปลี่ยนจุดยืน
การเยือนรัสเซียของกษัตริย์มาเลเซีย อาจทำให้บางฝ่ายในโลกตะวันตกมองว่า อาเซียนเริ่ม ‘เปิดประตูมากเกินไป’ ต่อขั้วที่ตนคว่ำบาตร ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอาจเห็นว่า อาเซียนกำลังเปิดพื้นที่ให้กับ ‘พันธมิตรทางเลือก’ นอกกรอบระเบียบโลกแบบตะวันตกที่เคยครอบงำภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน
ภาพลักษณ์ของอาเซียนในปี 2568 จึงอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘ผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง’ อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็น ‘สนามแข่งขันแห่งอิทธิพล’ ที่แต่ละขั้วอำนาจต่างพยายามช่วงชิงพื้นที่ ไม่ว่าจะผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือความมั่นคง
นักวิเคราะห์บางคนในมาเลเซียมองว่า การเยือนรัสเซียโดยกษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ สะท้อนบทบาทนำของมาเลเซียในอาเซียนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิภาคกำลังเผชิญกับภาวะเปราะบางจากสงครามยูเครน–รัสเซีย ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ และการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
แม้การเยือนครั้งนี้จะยังไม่ก่อให้เกิดข้อตกลงใดที่เขย่าภูมิภาคโดยตรง แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญเชิงสัญลักษณ์ ที่สะท้อนการปรับทิศทางของ ‘มาเลเซียยุคใหม่’ ซึ่งพยายามยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระดับโลก โดยไม่เลือกข้าง