เศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา (1) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ
แม้ว่าจะเกิดการรบกันที่ตะวันออกกลาง (ประเทศอิรักเข้ายึดครองประเทศคูเวต) และเกิดการรัฐประหารที่ประเทศไทยในปี 1991 ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความร้อนแรงของเศรษฐกิจไทยในปีต่อมาได้ เห็นได้จากข้อมูลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและปัจจัยอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่ในตารางข้อมูล (คอลัมน์ 1 ช่วงปี 1991-1996)
ช่วง 1991-1996 จีดีพีของประเทศไทยขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 8.0% ต่อปี และหากบวกเงินเฟ้อที่เฉลี่ยอีก 5% ต่อปี แปลว่า จีดีพีซึ่งเปรียบเสมือนยอดขายนั้น ขยายตัวสูงถึง 13% ต่อปี การทำธุรกิจจึงมีความคล่องตัวสูง และผู้ประกอบการมีความมั่นใจอย่างมากในการลงทุนเพื่อขยายกิจการ โดยไม่กลัวความเสี่ยงมากนัก เห็นได้จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงถึง 6.5% ของจีดีพี การขาดดุลฯ นั้นสะท้อนว่า ความต้องการภายในประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกำลังการผลิตภายในประเทศของไทยตอบสนองอุปสงค์ทั้งหมดของประเทศไม่ได้ ต้องนำเข้าเป็นจำนวนมาก
การใช้จ่ายเกินตัวดังกล่าวของประเทศไทยในตอนนั้นถูกมองว่า ไม่เป็นภัยอันตราย เพราะเชื่อว่า เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อไปใช้ในการขยายการผลิตและศักยภาพในอนาคตของประเทศ ที่สำคัญคือ ประเทศไทยสามารถดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก เห็นได้จากการไหลเข้าสุทธิของเงินทุนที่เฉลี่ยสูงถึง 13,900 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในช่วงปี 1991-1996 (คอลัมน์ 6 ช่วงปี 1991-1996)
นอกจากนั้น เราก็ยังได้เห็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก คือการที่รัฐบาลไทยเกินดุลงบประมาณเฉลี่ยสูงถึง 2.9% ของจีดีพี (คอลัมน์ 3 ช่วงปี 1991-1996) แปลว่า รัฐบาลต้อง “ฉุดรั้ง” ไม่ให้เศรษฐกิจไทยโตเร็วเกินไป โดยเก็บภาษีมากกว่าใช้จ่ายงบประมาณ และจ่ายคืนหนี้สาธารณะเหลือไม่ถึง 5% ของจีดีพีในปี 1995 ดังนั้น จึงดูเสมือนว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแรงและมีอนาคตที่สดใสมาก
อย่างไรก็ดี การกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุนนั้น เป็นการลงทุนที่สร้างฟองสบู่ในประเทศ ไม่ได้สร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ อย่างเพียงพอ และอาศัยการกู้หนี้สินระยะสั้นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อหนี้สินดังกล่าวมีปริมาณสูงกว่าทุนสำรอง และการส่งออกสะดุดลงในปี 1996 จึงทำให้เกิดการโจมตีค่าเงินบาทเพื่อเก็งกำไร ความพยายามต่อสู้การโจมตีดังกล่าวล้มเหลว ทำให้สูญเสียทุนสำรอง ต้องไปกู้เงินช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ และเกิด “วิกฤติคนรวย” เมื่อปี 1997 และใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาใหม่
ข้อมูลในบรรทัดที่ 2 ในช่วงปี 2000-2007 เป็นการสะท้อนเศรษฐกิจไทยในบริบทใหม่ ที่มีลักษณะที่แตกต่างจากช่วงปี 1991-1996 ดังนี้
1.จีดีพีขยายตัวลดลงอย่างมากจาก 8.2% ต่อปีมาเป็น 5.2% ต่อปี และเงินเฟ้อเฉลี่ยเพียง 2.5% แปลว่า “ยอดขาย” ในประเทศจึงลดลงไปเกือบครึ่งจาก 13.0% ต่อปี เป็น 7.7% ต่อปี (คอลัมน์ 2)
2.ดุลงบประมาณขาดดุลเฉลี่ยปีละ 0.8% แปลว่าเศรษฐกิจของไทยต้องเริ่มพึ่งพาการสนับสนุนจีดีพีให้ขยายตัว นอกจากนั้นก็ยังเห็นการขยายตัวของประชากรที่ชะลอตัวลง กล่าวคือ ประชากรเพิ่มขึ้น 1.16 ล้านคนในช่วงปี 2000-2007 น้อยกว่าช่วง 1991-1996 ที่ประชากรเพิ่มขึ้น 2.87 ล้านคน (คอลัมน์ 4)
3.ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากถึง 4.9% ของจีดีพีต่อปี (คอลัมน์ 5) ซึ่งนำไปใช้คืนหนี้สินระหว่างประเทศและเพื่อเพิ่มทุนสำรองให้เพียงพอ (คอลัมน์ 7)
4.ในช่วงเดียวกันเงินทุนไม่ได้ไหลเข้าสุทธิเช่นแต่ก่อน (คอลัมน์ 6) ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงตามปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป
ผมขอนำเสนอข้อมูลอีกขั้นหนึ่งคือ การส่งออกสินค้าและบริการเทียบกับจีดีพีในช่วง 1997- 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงก่อนและหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง
จะเห็นได้ว่าในช่วง 1970-1990 นั้น เศรษฐกิจไทยพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คือเป็นประเทศเล็กที่ “เปิด” น้อยกว่าการ “เปิด” ของเศรษฐกิจโลกเพียงเล็กน้อย เช่นในปี 1980 การส่งออกสินค้าและบริการของไทยคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 24.1% ของจีดีพี เทียบกับการส่งออกสินค้าและบริการของโลกต่อจีดีพีของโลกเท่ากับ 20.2%
แต่การฟื้นตัวจากวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น ต้องอาศัยการลดค่าเงินบาทจาก 25 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 40-45 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ เพื่อส่งออกมากขึ้นและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เพื่อเอาส่วนเกินมาใช้คืนหนี้ต่างประเทศ ผลคือการส่งออกสินค้าและบริการของไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น 60-70% ของจีดีพี เทียบกับการส่งออกสินค้ารับบริการของโลกที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25-30% ของจีดีพี
ครั้งต่อไปผมจะขยายความเกี่ยวกับการอ่อนแรงของเศรษฐกิจไทยในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาครับ