ไทย ..จะรับมืออย่างไรกับภาษีทรัมป์ 36 %
GM Live
อัพเดต 32 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เว็บไซต์ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชาย เทรนด์ บทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์ธุรกิจ รถยนต์ Gadget สุขภาพ อัพเดทก่อนใครเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย
ข่าวใหญ่ที่ทำให้ GM Liveและหลายภาคส่วนต้องสะดุ้ง โดยเฉพาะภาคการส่งออกของไทย จากการประกาศตัวเลขในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง สถานการ์เช่นนี้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ไทย.. จะรับมืออย่างไรกับภาษีทรัมป์ 36 %
และนี่คือบทความที่ทางGM Live เรียบเรียงขึ้นจากมุมมองากหลายผู้คนและหน่วยงานบนเอ็กซ์ (X) ที่น่าสนใจอย่างมาก
ซึ่งการที่สหรัฐอมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่จะถึงนี้นั้น เป็นผลพวงที่มาจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งมุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้านั่นเอง
โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม"worst offenders" หรือประเทศที่มีพฤติกรรมทางการค้าที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรมต่อประเทศของตน เช่น การเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราสูง การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือการส่งผ่านสินค้าจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และนี่คือมุมมองต่อนโยบายภาษี 36%และผลกระทบในแง่มุมต่าง ๆ รวมถึงแนวทางรับมือของไทย
มุมมองต่อนโยบายภาษี 36%
มุมมองของสหรัฐฯ : สหรัฐฯ อ้างว่าการขาดดุลการค้ากับไทย (มูลค่าสูงเมื่อเทียบกับการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ) เป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ การเก็บภาษี 36% จึงเป็นการ "เอาคืน" เพื่อปรับสมดุลการค้า โดยระบุว่าอัตรานี้ยังต่ำกว่าที่จำเป็นในการกำจัดการขาดดุล
ทั้งนี้สหรัฐฯ ยังได้เสนอทางออกให้ไทย เช่น การผลิตสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาลดอัตราภาษีได้
ในด้านมุมมองของไทย : รัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร พร้อมทั้ง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตั้งคณะทำงานพิเศษตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 เพื่อเจรจาต่อรองในการเรียกเก็บภาษีครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่าการเจรจาอาจต้องแลกกับการเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น ซึ่งอาจกระทบผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ เกษตร และบริการ. โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่าไทยยังมีสินค้าบางประเภทที่แข่งขันได้ แม้เผชิญภาษี 36% แต่ต้องประเมินผลกระทบในระยะยาว
ด้านมุมมองของภาคเอกชนและนักวิชาการ : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่าภาษี 36% สะท้อนความเสียเปรียบด้านการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม (20%) หรือมาเลเซีย (25%) และหวังให้ทางรัฐบาลไทยเจรจาลดภาษีและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคส่งออก
ในขณะเดี่ยวกันสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เตือนว่าการมุ่งลดภาษีอาจต้องแลกกับการเปิดตลาด ซึ่งอาจกระทบผู้ผลิตในประเทศ และแนะให้บริหารจัดการอย่างรอบคอบ
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ เช่น ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ชี้ว่าเป็น "worst-case scenario" และหากไทยตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี อาจถูกสหรัฐฯ เพิ่มภาษีทบเข้าไปในอัตรา 36%.
ผลกระทบต่อประเทศไทย
ด้านการส่งออก : ภาษี 36% ทำให้สินค้าไทยในสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้เสียเปรียบคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ทีถูกเรียกเก็บเพียง20% หรืออินโดนีเซียที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ 32% ซึ่งนั้นอาจทำให้สหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า (Substitution Effect)
และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์เคยคาดการณ์การส่งออกขยายตัว 10% ในปี 2568 แต่เมื่อมีการเรียกเก็บภาษี 36 % เช่นนี้ทำให้เป้าหมายดังกล่าวแทบเป็นไปไม่ได้ ภาคเอกชนประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียถึง 9 แสนล้านบาท และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ ยานยนต์ ซึ่งแรงงานราวประมาณ 7 แสนคน อิเล็กทรอนิกส์ และภาคการเกษตร เนื่องจากกำไรที่ได้ต้องเกินกว่าภาษีเรียกเก็บ 36% เป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการอย่างมาก
ด้านการลงทุน : ภาษีดังกล่าวอาจทำให้การลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี เช่น ธุรกิจคลาวด์ ชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนอาจมองว่าไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน และการส่งผ่านสินค้าจากจีนผ่านไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอาจถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในบางภาคส่วนลดลงอีกด้วย
ด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน : การส่งออกที่ลดลงอาจนำไปสู่การปลดพนักงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ และส่งผลต่อการเพิ่มอัตราการว่างงานของไทย ซึ่งSCB EIC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยอาจชะลอตัวจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ หรือIncome Effect ส่งผลให้ GDP ไตรมาส 3 และ4 ของปี 2568 ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ด้านภูมิรัฐศาสตร์: รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าภาษี 36% ไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมภูมิรัฐศาสตร์ โดยสหรัฐฯ มองว่าไทยเปิดตลาดให้จีนมากกว่าสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันให้ไทยปรับนโยบายการค้าให้สมดุลระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ
แนวทางรับมือของไทย
การเจรจา: รัฐบาลไทยเตรียมเจรจารอบที่สองก่อนกำหนดเส้นตาย คือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยอาจเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ บางรายการเป็น 0% เพื่อแลกกับการลดภาษี 36%. และทีมเจรจานำโดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังกำลังหาข้อสรุปเพื่อเยียวยาผู้ส่งออกและปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของไทย.
การกระจายตลาด : สนับสนุนให้ผู้ส่งออกหาตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง หรืออินเดีย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ.
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ : ทั้งนี้ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. และสภาพัฒน์ได้มีการแนะนำให้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขัน เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม.
ดังนั้นตัวเลขภาษี 36% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยนั้นเป็นการสะท้อนถึงความท้าทายทั้งในด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบหนักต่อการส่งออก การลงทุน และการจ้างงานของไทย โดยเฉพาะในภาคยานยนต์และเกษตร การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีเป็นทางออกหลัก แต่ต้องระวังเงื่อนไขที่อาจกระทบผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งการกระจายตลาดและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจะเป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และรับมือกับความผันผวนในเวทีการค้าโลก
ที่มา : ข้อมูลต่างๆ จากเอ็กซ์ (X)