สัญญาณโรคซึมเศร้าในเด็ก ที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม สาเหตุและวิธีป้องกัน
พ่อแม่หลายท่านมักจะกังวลว่าเมื่อลูกเราโตขึ้นจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่วัยเรียน อาจมีการปรับตัวเข้าสู่สังคม การใช้ชีวิตของลูกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง บางครั้งลูกๆ อาจพบความเครียดจนกระทั่งความเครียดสะสม มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณโรคซึมเศร้าในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้ เพื่อรับมือ และวางแผนการรักษา ดูแลสภาพจิตใจก่อนเป็นเรื้อรังรักษาควบคุมยาก
สาเหตุ “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” ในคุณแม่มือใหม่ แนะวิธีบำบัดรักษา
โรคซึมเศร้า VS อารมณ์เศร้า แพทย์เผยต้นตอของจิตเวชต้องรับการรักษา
โรคซึมเศร้า (depression) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่อารมณ์ซึมเศร้าจะมีมากกว่าปกติ คือมีอารมณ์เศร้าติดต่อกันเกือบทั้งวัน ติดต่อกันทุกวันนานเกิน 2 สัปดาห์
อาการโรคซึมเศร้าในเด็ก
- มีอารมณ์ที่ซึมเศร้าลง เบื่อหน่ายมากขึ้น หรือบางรายอาจมีอารมณ์หงุดหงิด
- ไม่มีความสุขความเพลิดเพลินเมื่อทำกิจกรรมที่ชอบ
- ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดลง หรือในขณะที่บางรายก็ทานอาหารมากเกินไป
- นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ ในขณะที่บางรายนอนทั้งวัน
- เฉื่อยชา ไม่มีสมาธิในการเรียน ความจำแย่ลง
- รู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า
- อยากฆ่าตัวตาย
สาเหตุของโรคซึมเศร้าในเด็ก
- พันธุกรรม ถ้ามีประวัติโรคซึมเศร้าในครอบครัว ก็จะทำให้เด็กมีโอกาสป่วยด้วยโรคซึมเศร้า มากกว่าเด็กทั่วไป
- ยาบางชนิดสามารถทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ เช่น ยาเคมีบำบัด ยาลดความดัน สารเสพติด เป็นต้น
- โรคบางชนิด เช่นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เป็นต้น
- สิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ความเครียด ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาในครอบครัว การทะเลาะกับแฟน ผลการเรียนตกต่ำ การคบเพื่อน ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งเสมอ ๆ หรือรู้สึกไม่ชอบ กลัว กังวล กับบุคคลรอบข้าง หรือ เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง กลัวการแข่งขัน
สัญญาณโรคซึมเศร้าในเด็ก
- เด็กเริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูดเหมือนก่อน
- เศร้า ร้องไห้ หงุดหงิดง่าย ทำอะไรก็ผิดหูผิดตา หงุดหงิดไปซะหมด
- ไม่ชอบทำกิจกรรมที่เคยชอบทำมาก่อน เช่นชอบวาดรูป แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว
- ไม่อยากทำอะไรเลย นอนทั้งวัน แอบร้องไห้คนเดียว
- บ่นอยากตาย
วิธีรับมือลูกเป็นโรคซึมเศร้า
- พ่อแม่ควรหมั่นพูดคุยกับลูก สังเกตพฤติกรรม สอบถามอาการสารทุกข์สุกดิบ ถามถึงความสุขของลูก เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้น ก่อนที่ลูกจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
- การทำกิจกรรมร่วมกับลูก ไปทำกิจกรรมใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ เพื่อให้เด็กมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม
- พูดคุยกับลูกโดยเหตุและผล ไม่ใช้อารมณ์ ให้ความเอาใจใส่และความอบอุ่นแก่ลูกอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เร่งรัด ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด
- คอยสำรวจพฤติกรรมหรือขอความช่วยเหลือจากคุณครูให้ช่วยสอดส่องพฤติกรรมของลูก และเปิดเผยพูดคุยกับคุณครูเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาของลูกที่พบที่บ้านและโรงเรียน เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด
หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2