‘โฆษกไทยสร้างไทย’ ชี้ ‘นายกฯ’ ปรับครม. มุ่งจัดสรรผลประโยชน์กลุ่มการเมือง มากกว่าแก้ปัญหา
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดว่า เป็นการปรับเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหลัก มากกว่าจะตอบโจทย์ปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะกรณีการบีบพรรคภูมิใจไทยให้ออกจากรัฐบาล แต่สุดท้ายพรรคเพื่อไทยกลับไม่ได้กระทรวงเพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญ นอกจากกระทรวงมหาดไทยและแรงงาน ส่วนกระทรวงสำคัญอื่น ๆ ส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เห็นชัดว่าการจัดสรรตำแหน่งใน ครม. ชุดใหม่นี้ไม่ได้คำนึงถึงการขับเคลื่อนงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
นายปริเยศ กล่าวอีกว่า สำหรับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ที่มีบุคคลในครอบครัวของ สส. พรรคไทยสร้างไทยได้รับการแต่งตั้งนั้น พรรคขอยืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคไทยสร้างไทย และไม่ใช่โควตาทางการเมืองของพรรคแต่อย่างใด ตำแหน่งดังกล่าวเป็นโควตาของพรรคเพื่อไทยโดยตรง ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นผู้ตัดสินใจ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจาก สส.ภายในพรรคตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่ม สส.อีสานที่ต้องการเข้าไปมีบทบาทในฐานะฝ่ายบริหารบ้าง หรือนายกรัฐมนตรีเห็นว่า บุคลากรในพรรคตัวเอง ไม่มีความเหมาะสมจะทำหน้าที่ในกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะพรรคเพื่อไทยเคยประกาศชัดว่ามีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมาตลอด
นายปริเยศ กล่าวอีกว่า พรรคไทยสร้างไทย ยืนยันจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเป็นฝ่ายค้าน และไม่เคยมีแนวคิดหรือท่าทีว่าจะเข้าร่วมรัฐบาล การปรับ ครม. ครั้งนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อย่างไรก็ดี พรรคตระหนักดีว่ามีสมาชิกบางคนของพรรคที่แสดงท่าทีสนับสนุนรัฐบาลอย่างเปิดเผย ซึ่งถือเป็นการขัดกับจุดยืนของพรรคอย่างรุนแรง แต่บุคคลเหล่านั้นกลับไม่ลาออกจากพรรค และยังใช้ชื่อพรรคในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง
นายปริเยศ กล่าวอีกว่า กรณีของนายฐากร ซึ่งเป็น สส. ของพรรคไทยสร้างไทย ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่พรรคเห็นว่าควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้สามารถเดินเส้นทางการเมืองกับพรรคใหม่ในฝั่งรัฐบาลได้อย่างเปิดเผยและเป็นอิสระ ไม่ต้องอาศัยหรือแอบอ้างชื่อพรรคไทยสร้างไทยอีกต่อไป พรรคเชื่อว่าการเมืองควรตรงไปตรงมา และควรมีความรับผิดชอบต่อจุดยืนทางอุดมการณ์ ที่ได้ประกาศกับประชาชน
นายปริเยศ กล่าวอีกว่า การเมืองที่ต้องพึ่งพาเสียงของงูเห่าหรือบุคคลที่ทรยศต่อพรรคต้นสังกัดนั้นยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ หากไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง การดำรงอยู่ของรัฐบาลชุดนี้อาจไม่ยาวอย่างที่คาดหวัง