สหรัฐผ่านกฎหมายภาษีใหม่ ขยายเพดานเงินกู้ เสี่ยงกระทบระยะยาว
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ผ่านร่างกฎหมายลดภาษีและเพิ่มงบประมาณ ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้ในระยะใกล้ แต่กลับสร้างความกังวลในระยะยาวเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น
ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โดยขยายมาตรการลดภาษีที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2017 เพิ่มการใช้จ่ายในด้านความมั่นคงชายแดนและกองทัพ รวมถึงมีการปรับลดงบประมาณของโครงการ Medicare และ Medicaid อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้หนี้ของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า
หนึ่งในมาตรการสำคัญของร่างกฎหมาย คือการขยายเพดานการกู้ยืมของรัฐบาลจาก 36.1 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นสัญญาณลบต่อสุขภาพทางการคลังในระยะยาวของประเทศ โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่า จะทำให้รายได้ภาษีลดลง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ และทำให้มีประชาชนมากถึง 10.9 ล้านคน สูญเสียสิทธิประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางในทศวรรษหน้า
บรรดานักลงทุนกังวลว่า หนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะลดทอนประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กฎหมายนี้พยายามผลักดัน แม้ว่าจะมีมาตรการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถหักค่าใช้จ่ายด้านเครื่องจักรและวิจัยพัฒนาได้เต็มจำนวนก็ตาม
บริษัทบริหารการลงทุน BlackRock เตือนว่า ความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากนักลงทุนต่างชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังระบุว่า ความกังวลในตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า “bond vigilantes” ซึ่งมักจะตอบสนองต่อความเสี่ยงทางการคลังด้วยการเทขายพันธบัตร ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูง
ในด้านบวก ร่างกฎหมายนี้ช่วยคลายความกังวลในระยะสั้นเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ โดยส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรที่ครบกำหนดในเดือนสิงหาคมเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของตลาดการเงินโดยรวมยังค่อนข้างสงบ เนื่องจากนักลงทุนได้คาดการณ์การขาดดุลงบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว
แม้ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและความคืบหน้าในข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ แต่ตลาดตราสารหนี้ยังคงจับตามองปัจจัยเสี่ยงจากภาวะการคลังของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด