“ธุรกิจขนาดเล็กสหรัฐ” ระส่ำ รับศึกภาษีทรัมป์ คาดผลกระทบ 2.02 แสนล้านดอลลาร์/ปี
"ธุรกิจขนาดเล็กสหรัฐ" ระส่ำ รับศึกภาษีทรัมป์ คาดผลกระทบ 2.02 แสนล้านดอลลาร์/ปี เหตุต้นทุนนำเข้าพุ่ง กระทบความอยู่รอด นักวิเคราะห์เตือนภาระจะทยอยตกสู่ผู้บริโภค
วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทขนาดเล็กในสหรัฐ ซึ่งเป็นแหล่งสร้างงานมากกว่าครึ่งของการจ้างงานใหม่ในประเทศตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังเผชิญความยากลำบากในการปฏิบัติตามมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และต้องรับมือกับแรงกดดันทางการเงินที่รุนแรงขึ้นจากต้นทุนนำเข้าที่สูงขึ้น
มาตรการเก็บภาษีแบบเฉพาะประเทศที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีอัตราตั้งแต่ 10% ถึง 50% ส่งผลกระทบสองต่อ คือ
1) เพิ่มภาระเอกสารและขั้นตอนจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) และ
2) บังคับให้ต้องเพิ่มวงเงิน customs bond ซึ่งเป็นการซื้อหลักประกันจากผู้ให้บริการค้ำประกันเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะได้รับรายได้จากภาษีศุลกากร ภาษีอื่น ๆ และค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น
บริษัทขนาดใหญ่มีทรัพยากรภายในเพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ แต่บริษัทขนาดเล็กกลับประสบปัญหา โดยErin Williamson รองประธานฝ่ายศุลกากรของ Geodis บริษัทโลจิสติกส์ระดับโลกจากฝรั่งเศส กล่าวว่าความท้าทายอยู่ที่การปฏิบัติตามข้อกำหนดและการคาดการณ์ภายใต้มาตรการภาษีใหม่
Williamson กล่าวว่า“พวกเขาอาจไม่มีทีมตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายใน หรือโครงสร้างพื้นฐานที่จะถอยออกมาประเมินว่า ‘โอเค ผลกระทบต่อเราจะเป็นอย่างไร และเราจะปรับตัวอย่างไร’”
หอการค้าสหรัฐประเมินเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ประเทศมีผู้นำเข้าธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 236,000 ราย (มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน) โดยในปี 2566 สินค้าที่พวกเขานำเข้ามีมูลค่ารวมกว่า 868,000 ล้านดอลลาร์
จากการคาดการณ์ก่อนที่มาตรการภาษีของทรัมป์จะมีผลบังคับใช้เมื่อ 7 ส.ค. หอการค้าประเมินว่าภาระภาษีรวมต่อปีของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะอยู่ที่ 202,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นภาระเฉลี่ยราว 856,000 ดอลลาร์ต่อบริษัทต่อปี
ผลต่อราคาผู้บริโภค
ข้อมูลถึงเดือนมิถุนายนชี้ว่า ธุรกิจในสหรัฐเป็นผู้แบกรับต้นทุนของภาษีของทรัมป์มากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นภาระของผู้ส่งออกต่างประเทศและผู้บริโภคสหรัฐ ตามบันทึกวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์เมื่อวันอาทิตย์ โดยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สัดส่วนภาระภาษีที่ผู้บริโภครับจะเพิ่มขึ้นเป็น 67%
ในระหว่างนี้ สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) กำลังสะท้อนความกังวลของหอการค้าสหรัฐ ผ่านการเผยแพร่เรื่องราวของผู้ประกอบการที่กังวลว่าจะไม่สามารถรับมือกับแผนภาษีใหม่ของทรัมป์ ซึ่งตั้งเป้าปรับโครงสร้างระบบการค้าทั่วโลกผ่านกำแพงภาษี
Jonathan Gold รองประธาน NRF ด้านซัพพลายเชนและนโยบายศุลกากร กล่าวว่า “โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กกำลังเผชิญปัญหาในการประคองตัวให้อยู่รอด”
รายงาน Global Port Tracker ของ NRF และ Hackett Associates คาดการณ์ว่าการนำเข้าสหรัฐจะร่วงลงอย่างมากตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากครึ่งปีแรกที่ยังขยายตัว โดยระบุว่าสาเหตุหลักมาจากแนวทางภาษีเปิด–ปิดของรัฐบาลสหรัฐ
ถูกกีดกันออกจากตลาด
Kush Desai โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ธุรกิจสหรัฐทั้งเล็กและใหญ่ถูกกีดกันออกจากตลาดต่างประเทศอย่างไม่เป็นธรรมมาหลายทศวรรษ เนื่องจากข้อตกลงการค้าเสรีแบบด้านเดียวที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมและแรงงานสหรัฐถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” และระบุว่าทรัมป์ใช้มาตรการภาษีและอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อเขียนกติกาการค้าโลกใหม่ และสร้างโอกาสเข้าถึงตลาดที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี John Denton เลขาธิการสภาหอการค้านานาชาติ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เพียงภาระภาษีที่สูงขึ้น แต่คือความวุ่นวายด้านการดำเนินงานและความไม่แน่นอนที่มาตรการใหม่นำมาสู่ธุรกิจ แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีแผนกกำกับดูแลการค้าก็ยังยากที่จะเข้าใจอัตราภาษีที่ใช้กับสินค้าที่ส่งออก–นำเข้า เพราะโครงสร้างมาตรการที่ซับซ้อนและไม่แน่นอน
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์ให้คำแนะนำที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการบังคับใช้ โดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบจากภาระเอกสารเพียงอย่างเดียว
ความสับสนจากการใช้ภาษีแบบต่างตอบแทน
การดำเนินนโยบายภาษีแบบ reciprocal tariffs ของทรัมป์ ทำให้เกิดความสับสนแล้ว เช่น กรณีที่ CBP ออกคำสั่งเรียกเก็บภาษีกับการนำเข้าทองคำบางประเภท ซึ่งประกาศแบบส่วนตัวกับผู้กลั่นทองในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อ 31 ก.ค. และเผยแพร่ต่อสาธารณะในวันศุกร์ ส่งผลให้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในนิวยอร์กพุ่งขึ้นทำสถิติ ก่อนจะร่วงลงอย่างรวดเร็วเมื่อรัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณว่านำเข้าทองคำแท่งอาจจะไม่ถูกเก็บภาษี
Paul Krugman เจ้าของรางวัลโนเบลและศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเมืองนิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television ว่า “เราเคยมีนโยบายการค้าที่ค่อนข้างเรียบง่าย คือ ประเทศส่วนใหญ่มีสถานะชาติที่ได้รับความเอื้อเฟื้อสูงสุด (MFN) ทำให้ทุกประเทศเสียภาษีในอัตราใกล้เคียงกัน และศุลกากรก็ทำงานได้ง่ายกว่านี้มาก สิ่งที่เราเห็นตอนนี้เป็นอาการของนโยบายการค้าที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของระบบราชการที่จะจัดการได้”
อ้างอิง : bloomberg.com