เตือนไทยปรับเกมสู้ ‘เวียดนาม’ ‘เอฟดีไอ-ส่งออก‘ แซงหน้าไทย เสี่ยงเสียโอกาสลงทุน
“เวียดนาม” ตั้งเป้าหมายใหญ่ เป็นประเทศรายได้สูงปี 2588 สัดส่วน FDI ต่อเศรษฐกิจมากกว่าไทยเท่าตัว มูลค่าส่งออก แซงไทยตั้งแต่ปี 2561 ‘เวียดนาม’ เริ่มเป็นที่จับตามองหลังเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2550 ลำดับที่ 150 เป็นการเปิดประตูเวียดนามไปสู่ยุคใหม่การค้า และการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวรวดเร็ว เวียดนามต้องปรับลดภาษี และเปิดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศตามเงื่อนไข WTO
หลังจากนั้นเศรษฐกิจเวียดนามโตก้าวกระโดดปีแรกที่เข้าเป็นสมาชิก โดยโตสูงสุดในรอบ 10 ปี
ธนาคารโลก รายงานว่า จากนั้นมาเวียดนามมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าต่อเนื่อง การส่งออกที่ขยายตัวเป็นเงื่อนไขสำคัญทำให้ GDP เวียดนามขยายตัวระดับสูง และมีเพียงปี 2563 ที่ GDP เวียดนามขยายตัวเพียง 2.9% และปี 2564 ขยายตัว 2.6% ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
นอกจากนั้นในรอบ 10 ปี เศรษฐกิจเวียดนามขยายระหว่าง 5.1-8.5% สำหรับ FDI ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนต่อ GDP ระหว่าง 4.2-5.0% โดยล่าสุดปี 2567 มีสัดส่วน 4.2% เป็นสัดส่วนที่สูงกว่าไทยที่ปี 2567 มีสัดส่วนเพียง 1.9%
ส่วนการส่งออกเวียดนามมีมูลค่าแซงหน้าไทยมาแล้ว 6 ปี ก่อนหน้านั้นมูลค่าส่งออกของไทยสูงกว่าเวียดนามมาตลอด ธนาคารโลกรายงานว่าปี 2543 ไทยส่งออกมูลค่า 69,000 ล้านดอลลาร์ เวียดนามส่งออกมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์
แต่ปี 2561 ไทยส่งออกมูลค่า 252,000 ล้านดอลลาร์ เวียดนามส่งออกมูลค่า 261,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งปีล่าสุด 2567 ไทยส่งออกมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนเวียดนามส่งออก 405,000 ล้านดอลลาร์
ล่าสุดเวียดนามประกาศแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ มูลค่ามากถึง 10% ของ GDP หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป้าหมายการเติบโตของ GDP 8% ในปี 2568 และบรรลุเป้าหมายเติบโต “เลขสองหลัก” ในปีต่อไป
และเพื่อเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย และเป็นประเทศรายได้สูงภายใน 2045 หรือปี 2588
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจเวียดนามพึ่งส่งออก และ FDI เป็นหลัก ทำให้มีความเปราะบางต่อแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอก เช่น มาตรการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งประกาศใช้ล่าสุด ทำให้เวียดนามต้องลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่ ไทยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติปี 2561-2580 โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2580 แต่รัฐบาลเพื่อไทยทั้งรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ชาติ
“เวียดนาม” ส่งสัญญาณชัดศูนย์กลางเศรษฐกิจ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคต ไทย กล่าวว่า เวียดนามกำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเร่งบทบาทสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียน ด้วยแพ็กเกจลงทุนมูลค่า 42-50 พันล้านดอลลาร์ ครอบคลุมกว่า 250 โครงการโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัย
เป้าหมายเวียดนามต้องการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2025 ให้แตะ 8.0-8.5% การเดินหน้าโครงการรางเชื่อมจีน บวกผลักดัน อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาดตอกย้ำภาพการดึงดูดลงทุน และการย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติ เป็นการแก้ Pain Point เดิมเรื่องพลังงานไม่เพียงพอ
ในเวลาเดียวกันโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม 1 ล้านหน่วย ถือเป็นกลไกเสริมสำคัญ ช่วยปลดล็อกปัญหาที่อยู่อาศัยแรงงาน ทำให้แรงงานจำนวนมากย้ายเข้าเขตอุตสาหกรรมใหม่ได้เร็ว ต้นทุนการผลิตเวียดนามมีแนวโน้มแข่งขันได้มากขึ้น สร้างความยั่งยืนต่อการเติบโตภาคการผลิตระยะยาว การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า เวียดนามมีสิ่งที่เห็นชัดเจน คือ เดินหน้าแบบตรงกลไกและรวดเร็วมากเลือกใช้วิธียุบรวมองค์กรลงไปถึงระดับอำเภอ อีกจุดที่น่าสนใจ คือ ตัดอำนาจกลางเชื่อมกับประชาชนทันที เมื่อไม่มีระดับอำเภอเป็นตัวกลาง การทำงานก็ไปเชื่อมตรงระหว่างจังหวัดกับตำบล ผลที่ได้คือ บริการประชาชนเร็วขึ้น ขั้นตอนสั้นลง ลดการแทรกแซง
ส่วนเรื่องบุคลากร ระบบ และเทคโนโลยี เวียดนามถือว่ามองไกลไม่ได้แค่ลดโครงสร้าง แต่ยังลดเจ้าหน้าที่ที่ไม่จำเป็น พร้อมทั้งดันบุคลากรที่มีคุณภาพขึ้นมาใช้งาน และผลักดันระบบรัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงการทำงานกับประชาชน
แนะไทยฮึดสู้เวียดนามทุกด้าน
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง หากเดินช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ความเสี่ยง คือ สูญเสียทั้งโอกาสลงทุนและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
ไทยต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล รัฐบาลอัจฉริยะ ลดต้นทุนทั้งรัฐ และเอกชน ใช้ดิจิทัลลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ในระบบราชการมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้า บริการ
โดยเฉพาะอาหารอนาคต และอุตสาหกรรมชีวภาพ พัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคผ่านโครงการเศรษฐกิจเชื่อมโยง เสริมบทบาท Public–Private Partnership พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ และนวัตกรรมส่งเสริมลงทุนเทคโนโลยี AI สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า และบริการ โดยเฉพาะอาหารอนาคตและอุตสาหกรรมชีวภาพ
“ซีไอเอ็มบี” กังวลศักยภาพไทยลดต่ำลง
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ของเวียดนาม ทำให้นักลงทุนกำลังมุ่งเป้าไปที่เวียดนามทั้งการลงทุน และโครงการใหญ่ๆ ที่เวียดนามประกาศออกมา หากไทยไม่ดำเนินการหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในประเทศ อาจต้องพ่ายแพ้ให้กับเวียดนามในอนาคต
ปัจจุบันไทยยังมีขนาดเศรษฐกิจที่สูงกว่าเวียดนาม รวมถึงรายได้ต่อหัวของไทยยังสูงกว่าเวียดนามเช่นกัน แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ศักยภาพเติบโตของไทยกำลังลดต่ำลง ศักยภาพเศรษฐกิจไทยเติบโตที่ประมาณ 2-2.5% เท่านั้น
ตรงกันข้ามเวียดนามมีโอกาสเติบโตสูงถึง 6-7% คาดว่า ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ขนาดเศรษฐกิจเวียดนามน่าจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจไทยชัดเจน รายได้ต่อหัวเวียดนามจะเติบโตมากขึ้นด้วย จากตลาดในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และจำนวนประชากรที่มีกว่า 100 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใน
การลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาในเวียดนามไม่ได้เน้นแค่ผลิตเพื่อส่งออก
แต่มองไปถึงกำลังซื้อในประเทศที่กำลังเติบโตรวมถึงการเพิ่มขึ้นชนชั้นกลาง ทำให้ฐานลงทุน และความน่าสนใจลงทุนเวียดนามมีมากขึ้น อีกทั้ง นโยบายรัฐบาลเวียดนามที่พยายามหาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
การปรับตัวเหล่านี้ยิ่งทำให้เวียดนามรับมือกับความท้าทาย และมีความแข็งแกร่งภายในมากขึ้น มองเวียดนามเสือตัวใหม่เอเชีย
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังมองเวียดนามว่า อาจเป็นเสือตัวใหม่ของเอเชียที่มีศักยภาพสูง และมีโอกาสแข่งขันกับไทยได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังจากการเข้าไปลงทุนในเวียดนาม คือ เวียดนามยังเป็นตลาดเกิดใหม่ มีจุดอ่อนจากการเร่งเติบโตเร็วอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ หรือเศรษฐกิจอาจเสียเสถียรภาพได้ อีกทั้งปัจจุบันค่าเงินที่ไม่ค่อยมีเสถียรภาพอาจกระทบต่อการเติบโตในระยะยาว
ในมุมประเทศไทย หากไม่ทำอะไรเลยจะแพ้เวียดนามอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการเติบโตเทียบจีดีพีคาดว่า 40 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจทั้งฟิลิปปินส์ และเวียดนามจะแซงหน้าไทยแน่นอน
“ไทยต้องเปลี่ยนแนวคิดว่า เวียดนามเป็นทั้งคู่ค้า และคู่แข่ง เราต้องแข่งขันกับเวียดนามบางส่วนใช้จุดที่เราถนัด เช่น อุตสาหกรรมชั้นสูง หรือการเชื่อมโยงกับต่างประเทศในฐานะคู่ค้า การที่เวียดนามเติบโตเป็นโอกาสที่ดีสำหรับไทยเช่นกัน เพราะเมื่อเวียดนามเติบโต พวกเขาจะมีความต้องการสินค้า และการลงทุนจากไทย”
มองไทย และเวียดนามมีข้อดีข้อเสีย
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ประเด็นท้าทายของเวียดนาม แม้กำลังมีการลงทุนครั้งใหญ่ มีโอกาสเติบโตเศรษฐกิจสูง
แต่เวียดนามต้องเผชิญความท้าทายจากค่าเงินเวียดนามอ่อนค่าลงมาโดยตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่น่ากังวล คือ ช่วงดอลลาร์อ่อนค่า สกุลเงินอื่นๆ แข็งค่า แต่เงินเวียดนามกลับอ่อนค่าต่อตั้งแต่ต้นปี เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ
โดยเฉพาะการอ่อนค่าของเงินดอง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องใช้กองทุนสำรองระหว่างประเทศพยุงค่าเงิน อีกทั้งเวียดนามยังมีปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจเติบโตสูงสวนทางปัญหาเงินเฟ้อการเติบโตเศรษฐกิจที่รวดเร็ว อาจนำมาซึ่งความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจได้
จี้รัฐเร่งสปีดอินฟราฯ ดันท่องเที่ยวไทย
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า การประกาศลงทุนของเวียดนามถือว่ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์ เนื่องจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วยหนุนการเติบโตภาคท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยเองควรเร่งพัฒนาและต่อยอด
ที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนภาครัฐที่ควรนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นำไปแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งจริงๆ ควรนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค เพราะช่วยสร้างการเติบโตแก่จีดีพีเหมือนกัน
“ปัจจุบันเวียดนามกับไทยแข่งขันสูงมากอยู่แล้ว อนาคตประเทศไทยต้องเจอการแข่งขันที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นตัวงบประมาณปี 2569 ซึ่งผ่านสภาฯ แล้ว รวมถึงงบประมาณปีถัดไป ต้องเน้นทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสู้กับเวียดนาม เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกตัว”
ไทยยังต้องพัฒนาอีกหลายส่วน
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด และบริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไทยต้องพัฒนาอีกหลายส่วน
โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวแบบมนุษย์สร้างเอง เพราะหากเทียบเวียดนาม จะเห็นว่าพัฒนาได้เร็วมาก รวมถึงล่าสุดเพิ่งอนุมัติลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ มูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท
“ประเมินว่าไทยคงไม่สามารถดำเนินการรวดเร็วเท่าเวียดนาม เพราะรูปแบบการบริหารแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคท่องเที่ยวเวียดนามยังสู้ไทยไม่ได้ โดยเฉพาะภาคบริการ ธรรมชาติที่สวยงาม และคุณภาพที่มีมากกว่า”
หวั่นไม่กี่ปีข้างหน้าเวียดนามแซงไทย
นายพันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำปลาแท้ตราหอยนางรม กล่าวว่า มิติการแข่งขันธุรกิจน้ำปลา แบรนด์เวียดนามถือเป็นผู้เล่น และคู่แข่งสำคัญในตลาดโลกกับแบรนด์น้ำปลาของไทย
แม้ปัจจุบันไทยยังครองอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 70-80% แต่อนาคตสินค้าจากเวียดนาม คือ คู่แข่งที่น่ากลัว
“ภาพการแข่งขันประเทศมองอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าจะแซงไทย ในฐานะภาคธุรกิจอยากเห็นรัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย แบ่งเป็นรายหมวด เช่น สินค้าไทย ข้าว ต้องส่งเสริมพิเศษ เพื่อให้แข่งขันได้ ส่วนตลาดน้ำปลา แม้การแข่งขันจากเวียดนามไม่น่ากลัวแต่สินค้าอื่น เช่น ข้าว ไทยโดนแย่งตลาดไปเยอะมาก”
‘เวียดนาม’ เปิดทางเอกชนดัน ศก.
ปี 2567 ที่ผ่านมา “เวียดนาม” มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่น่าจับตามองสองเรื่อง เรื่องแรก คือ ได้ผู้นำสูงสุดคนใหม่อย่างพล.อ.โต เลิม ขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แทน เหวียน ฝู จ่อง ที่ถึงแก่อสัญกรรม
และสิ่งสำคัญตามมาพร้อมกัน คือ ยุทธศาสตร์ระยะยาวของเวียดนาม กับเป้าหมายการขยับจากประเทศกำลังพัฒนาขึ้นเป็น “ประเทศรายได้สูง” ภายในปี 2045 และเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวใหม่ของเอเชีย
เป้าหมายนี้ มาในจังหวะเดียวกับที่สหรัฐยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดสงครามการค้ารอบใหม่ ที่นอกจากจะสกัด “จีน” ทั้งทางตรง และทางอ้อมผ่านประเทศไชน่าพลัสวันทั้งหลายแล้ว ยังกดดันประเทศคู่ค้าที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐเป็นหลัก
ทำให้เวียดนามไม่สามารถจมอยู่กับโมเดลเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่เป็นฐานการผลิตราคาถูกเพื่อส่งออกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อพลิกโฉมอนาคตใน 20 ปีข้างหน้าด้วย ทำให้เวียดนามประกาศเร่งเครื่อง “ลงทุน” และ “ปฏิรูป” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ
ขณะที่ เวียดนามกำลังจะพึ่งพา “ภาคเอกชน” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยเดือนพ.ค.พรรคคอมมิวนิสต์ได้ผ่านข้อมติที่ 68 ระบุว่า ภาคเอกชนเป็น “พลังสำคัญที่สุด” ในระบบเศรษฐกิจ พร้อมให้คำมั่นจะเปิดทางให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากการครอบงำ
โดยบริษัทของรัฐ และบริษัทต่างชาติ ปัจจุบัน บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ คือ ผู้ขับเคลื่อนการส่งออกของเวียดนามใช้วัตถุดิบ และชิ้นส่วนนำเข้า และใช้แรงงานท้องถิ่นต้นทุนต่ำ ทำให้บริษัทท้องถิ่นเวียดนามเองติดหล่มในห่วงโซ่อุปทานระดับล่าง ประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินกู้ และตลาดที่เอื้อประโยชน์มากกว่าต่อ “รัฐวิสาหกิจ” กว่า 700 แห่งในประเทศ
เอพี ระบุว่า เวียดนามยังเดินกลยุทธ์ตามแบบจีนอีกเรื่องในการปั้น “National Champion” มาขับเคลื่อนนวัตกรรมและการแข่งขันระดับโลก โดยให้ตลาดเป็นผู้ตัดสินใจ นโยบายนี้รวมถึงการผ่อนปรนเงินกู้สำหรับบริษัทที่ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่
การให้สิทธิพิเศษการทำสัญญารัฐบาลสำหรับผู้ที่บรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรม และการช่วยเหลือบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ภายในปี 2573 เวียดนามตั้งเป้ายกระดับบริษัทเอกชนอย่างน้อย 20 แห่งสู่ระดับโลก
ผศ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า สิ่งที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ทำให้เวียดนามเร่งปฏิรูปนโยบายและเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คือ “การสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ” ให้กับรัฐบาล เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะก่อนประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่จะจัดขึ้นในปี 2026
การเดิมเกมครั้งนี้ จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้นำประเทศต้องการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาคลาสสิกของเวียดนาม เช่น คอร์รัปชันและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าผู้นำชุดปัจจุบันมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่การเป็น "เสือเศรษฐกิจเอเชีย” ในอีก 20 ปีข้างหน้า
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์