ธนารักษ์จับมือกองทัพเรือ จูงใจที่ราชพัสดุติดตั้งโซลาร์เซลล์
วันที่ 25 ส.ค. 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “Clean Energy” พร้อมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการจัดทำต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ราชการ ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนพื้นที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้กลายเป็นฐานพลังงานสะอาดแห่งอนาคต
นายเอกนิติ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อนและสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ กรมธนารักษ์จึงได้กำหนด หลักเกณฑ์กลางการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุเพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะยกเว้นหรือลดค่าเช่าและค่าแรกเข้าสำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ บนหลังคา (Solar Rooftop) บนพื้นดิน (Solar Farm) และบนทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar)
โดยกำหนดหลักเกณฑ์การลดค่าเช่าตามประเภทผู้ใช้ ดังนี้
1.ส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง จะได้รับการ ยกเว้นค่าตอบแทนทั้งหมด
2.รัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ผลิตหรือจำหน่ายไฟฟ้า หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบจะได้รับสิทธิผ่อนปรนค่าเช่าในอัตราต่ำสุด เช่น Solar Rooftop คิดค่าเช่าเพียง 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ Solar Farm/Floating Solar คิดค่าเช่าที่ดินเพียง 0.75% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งลดลงถึง 75% จากอัตราปกติ
3. ผู้เช่าเอกชน หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบจะได้รับสิทธิผ่อนปรนค่าเช่า โดย Solar Rooftop คิดค่าเช่า 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ส่วน Solar Farm/Floating Solar คิดค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งลดลง 50% จากอัตราปกติ
4.การเปิดประมูลพื้นที่ใหม่ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้เช่า กรมธนารักษ์จะเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาลงทุน โดยกำหนดค่าแรกเข้าและค่าเช่าที่ดินลดลง 50% จากอัตราปกติ
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการเชิงพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก จะต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิต 5% ให้แก่กรมธนารักษ์เป็นรายได้แผ่นดินด้วย
ทั้งนี้ ความร่วมมือกับกองทัพเรือถือเป็นก้าวสำคัญของโครงการนำร่องนี้ โดยจะเริ่มจากโครงการ Floating Solar ที่กรมอู่ทหารเรือ ก่อนขยายผลสู่พื้นที่อีก 6 แห่ง เช่น ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า ศูนย์ฝึกทหารใหม่ และกองการบินทหารเรือ รวมกำลังการผลิตกว่า 42,000 kWp
โดยเมื่อโครงการเดินหน้าเต็มรูปแบบ คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของกองทัพเรือได้กว่า 20% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 63,000 ตันต่อปี ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระงบประมาณ แต่ยังเป็นการสร้างต้นแบบแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่หน่วยงานอื่นสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต