เฟดถกเดือด ผวา "เงินเฟ้อ" ความเสี่ยงใหญ่ แซงหน้าตลาดแรงงานสหรัฐฯ
รายงานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นร้อนที่สื่อต่างประเทศนำเสนออย่างกว้างขวาง โดยชี้ว่าภายในเฟดยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายดอกเบี้ย แต่สิ่งที่ชัดเจนคือเสียงส่วนใหญ่ยังกังวลต่อเงินเฟ้อที่ยังคงร้อนแรงมากกว่าตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง
บลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้กำหนดนโยบายทั้ง 18 คนยอมรับถึงสองแรงกดดันใหญ่คือ เงินเฟ้อที่ยังสูงเกินเป้า และตลาดแรงงานที่เริ่มแผ่วแรง แต่เสียงส่วนใหญ่ประเมินว่า “ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ” มีน้ำหนักมากกว่า ความกังวลด้านการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัว ขณะที่ผลกระทบจากกำแพงภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ผลักดัน ยิ่งทำให้เกิดความเห็นแตกต่างภายในเฟดว่าจะกระทบต่อราคาสินค้าแบบชั่วคราวหรือกลายเป็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ
ที่ประชุมดังกล่าวยังมีการลงมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.5% ท่ามกลางความไม่แน่นอนในอนาคต เฟดระบุว่าตลาดแรงงานยังถือว่า “แข็งแกร่ง” แต่ยอมรับว่าเงินเฟ้อ “ค่อนข้างสูง” โดยมีกรรมการอย่างคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และมิเชลล์ โบว์แมน แสดงความเห็นต่าง มองว่าตลาดแรงงานที่อ่อนแอควรได้รับความสำคัญมากกว่านี้
รายงานยังสะท้อนความกังวลว่า หากเงินเฟ้อทรงตัวสูงเกิน 2% ต่อไป อาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตหลุดจากกรอบที่เฟดพยายามควบคุม โดยเจ้าหน้าที่บางส่วนมองว่าผลจากกำแพงภาษียังไม่ปรากฏเต็มที่ และอาจกดดันราคาสินค้าและบริการไปจนถึงปีหน้า
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดก็ยิ่งตอกย้ำแรงกดดันดังกล่าว ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี บ่งชี้ว่าบริษัทต่างๆ เริ่มผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ขณะเดียวกันตลาดแรงงานกลับส่งสัญญาณอ่อนแรง การปรับทบทวนตัวเลขเผยว่าอัตราการจ้างงานช่วงสามเดือนจนถึงกรกฎาคมอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่โควิด และอัตราการว่างงานขยับขึ้นสู่ 4.2%
รายงานการประชุมเฟดยังถูกจับตาอย่างหนักเพราะเกิดขึ้นก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ที่งานแจ็คสันโฮล ซึ่งมักถูกใช้เป็นเวทีส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงิน เขาย้ำว่าผลของภาษีต่อเงินเฟ้ออาจเป็นเพียงชั่วคราว แต่เฟดต้องเตรียมพร้อมหากผลลัพธ์ลากยาวเกินคาด
ประเด็นการเมืองยิ่งทำให้บรรยากาศซับซ้อนขึ้น เมื่อทรัมป์เรียกร้องให้ลิซ่า คุก กรรมการเฟดลาออก ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงสินเชื่อ อีกทั้งเขายังเพิ่มแรงกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ออกมาสนับสนุนการลดดอกเบี้ย 0.5% ภายในเดือนกันยายน
นอกจากเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน เฟดยังหารือถึงเสถียรภาพทางการเงิน โดยหลายคนแสดงความกังวลต่อแรงกดดันด้านการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปราะบางในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ