เวียดนามเดินหน้าสร้างสมาร์ทซิตี้ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน-ดึงทุนต่างชาติ
เวียดนาม กำลังผลักดันโครงการสมาร์ทซิตี้ทั่วประเทศในช่วงปี 2025–2030 โดยอาศัยแรงหนุนจากนโยบายรัฐ การลงทุนภาคเอกชน และเทคโนโลยีดิจิทัล ขณะเดียวกันยังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และโมเดลการจัดการเมืองสมัยใหม่ ความสำเร็จจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ และเสริมภาพลักษณ์ของเวียดนามบนเวทีโลก
ล่าสุด เวียดนามยังเปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดย “ซันกรุ๊ป” ได้ประกาศลงทุนโครงการกาสิโนและรีสอร์ตครบวงจรมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ในวานดอน จังหวัดกว๋างนิงห์ เพื่อปักหมุดพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระดับโลก
ทั้งนี้จังหวัดกว๋างนิงห์เองก็ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในหัวขบวนของโครงการสมาร์ทซิตี้ สะท้อนทิศทางการพัฒนาที่ผสานการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน
ความท้าทายของเวียดนาม
เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวของเมืองเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าประชากรเมืองจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% ของประชากรทั้งหมดภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม เมืองต่าง ๆ ยังคงเผชิญความท้าทายจากโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัยและกระจัดกระจาย ไม่สามารถรองรับการเติบโตได้เต็มที่ ทั้งเครือข่ายการคมนาคมที่แออัด บริการสาธารณะที่ตึงตัว และปัญหาสิ่งแวดล้อม ล้วนสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อรัฐบาลท้องถิ่น
แนวคิด “สมาร์ทซิตี้” กำลังกลายเป็นอนาคตของการวางผังเมือง
เวียดนามได้เข้าร่วมกระแสโลกนี้อย่างเต็มรูปแบบ ในเดือนสิงหาคม 2018 รัฐบาลได้อนุมัติ “แผนพัฒนาสมาร์ทซิตี้อย่างยั่งยืนในเวียดนาม ระยะ 2018-2025 และกรอบทิศทางสู่ปี 2030” โดยตั้งเป้าทำโครงการนำร่องก่อนจะขยายโมเดลสมาร์ทซิตี้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่า เวียดนามได้เสร็จสิ้นช่วงการวิจัยและวางแผนแล้ว ขณะนี้เมื่อกรอบกฎหมายเริ่มค่อย ๆ ชัดเจน ประเทศก็กำลังก้าวสู่ขั้นตอนสำคัญถัดไป คือการนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความจำเป็นเร่งด่วนในหลายเมืองเริ่มปรากฏชัด
เมืองใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
เจิ่น ดินห์ ตุง ประธานสมาคมวิศวกรรมโยธาเวียดนาม ให้สัมภาษณ์กับ Vietnam Economic Times / VnEconomy ว่า ช่วงปี 2025-2030 จะเป็นระยะก้าวกระโดดของการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ในเวียดนาม โดยได้รับแรงหนุนจากมติเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์หมายเลข 68-NQ/TW ว่าด้วยการพัฒนาภาคเอกชน และมติเลขาธิการหมายเลข 57-NQ/TW ว่าด้วยการปฏิวัติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ซึ่งกำลังปลดล็อกสองกลไกหลักคือ กระแสเงินทุนจากภาคเอกชน และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
ภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของการเติบโต
จะได้รับเงื่อนไขเอื้ออำนวยมากกว่าที่เคย เพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างสมาร์ทซิตี้ ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างการปกครองระดับจังหวัดทั่วประเทศ ก็กำลังเปิดพื้นที่เชิงสถาบันที่ยืดหยุ่น ลดขั้นตอน และทำให้รัฐบาลท้องถิ่นมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะระบบข้อมูลร่วมที่มีการขยาย เชื่อมโยง และโปร่งใส จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการทำดิจิทัลอย่างครอบคลุมในการบริหารเมือง
ในด้านเทคโนโลยีหลักของสมาร์ทซิตี้ หลายประเทศทั่วโลกได้พัฒนาโมเดลสมาร์ทซิตี้ประสบความสำเร็จแล้ว แม้เวียดนามจะเป็นผู้ตาม แต่ก็มีโอกาสเรียนรู้ทั้งจากเทคโนโลยีล้ำสมัยและบทเรียนจากผู้บุกเบิก เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
โดยเฉพาะเกาหลีใต้ซึ่งเป็นนักลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ถือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูงในการร่วมพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ช่วงปลายปีที่แล้ว เกาหลีใต้และเวียดนามได้ร่วมเปิดศูนย์วิจัยและการลงทุนสมาร์ทซิตี้เวียดนาม-เกาหลี (VKC) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือด้านเทคโนโลยี การแบ่งปันนโยบาย และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเปลี่ยนผ่านสู่เมืองอัจฉริยะที่ทันสมัยและยั่งยืนของเวียดนาม
เมืองเซจง (Sejong)
ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโซล 120 กิโลเมตร เป็นตัวอย่างโดดเด่นของการวางผังเมืองอนาคต ด้วยระบบคมนาคมและโครงสร้างเมืองที่จัดระเบียบอย่างดี พัฒนาภายใต้แนวคิด “เมืองสวน” ผสมผสานเทคโนโลยี นิเวศ และการออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
โดยใช้ AI เป็น “สมองกล” คาดการณ์ความต้องการจราจรแบบเรียลไทม์ ช่วยลดเวลาเดินทางได้สูงสุด 30% ในบางพื้นที่ อีกทั้งยังบูรณาการ IoT ในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อตรวจสอบและจัดการการใช้ไฟฟ้าและน้ำ ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
อีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ของเวียดนาม คือ มติเลขาธิการที่ 68 ซึ่งปลดล็อกการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทำให้เวียดนามกลายเป็นตลาดที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงในภาคสมาร์ทซิตี้
เรามีโอกาสที่จะยืนบนไหล่ยักษ์ และก้าวกระโดดครั้งสำคัญในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อโครงการสมาร์ทซิตี้ต้องการการลงทุนจำนวนมหาศาล ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการบริหารเมืองสมัยใหม่
สมาร์ทซิตี้ไม่เพียงเป็นโมเดลการบริหารสมัยใหม่
แต่ยังเป็นเส้นทางการพัฒนาใหม่สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม การเกิดขึ้นของโมเดลนี้เชื่อว่าจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมสนับสนุนจำนวนมาก กระตุ้นนวัตกรรมในการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และบริการเทคโนโลยี ตลอดจนขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้เวียดนามบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเลขสองหลักในอนาคต
เมืองนำร่องและการลงทุน
5 เขตท้องถิ่น ได้แก่ ฮานอย โฮจิมินห์ กว๋างนิงห์ ไฮฟอง และดานัง ถูกมองว่าเป็น “หัวขบวน” ที่มีศักยภาพในการนำร่องโมเดลสมาร์ทซิตี้ในช่วงปี 2025-2030 โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า แต่ละโมเดลสมาร์ทซิตี้จะต้องใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการดำเนินงานเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่าเวียดนามจำเป็นต้องระดมทุนอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ในระยะเริ่มต้นเพื่อครอบคลุมห้าเมืองนำร่องนี้
วินเซนต์ ฟาม ประธาน IOTA Capital เชื่อว่า ในด้านทรัพยากรการเงิน เวียดนามจำเป็นต้องดึงดูดเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะ FDI จากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมีประสบการณ์ในโครงการเมืองขนาดใหญ่
นอกจากนี้ นักลงทุนยุโรปจากเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ก็กำลังแสดงความสนใจอย่างมากในโครงการสมาร์ทซิตี้ที่สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เวียดนามยังสามารถเข้าถึงเงินทุนจากตะวันออกกลาง ซึ่งกำลังเปลี่ยนทิศทางการลงทุนสู่ตลาดเกิดใหม่อย่างเวียดนาม
ในอดีต เวียดนามมักเดินตามรอยประเทศอื่นในการเรียนรู้โมเดลเมือง แต่ ฟาม ถิ ทวี อัน ประธานคณะกรรมการจัดงาน CICON 2025 การประชุมนานาชาติประจำปีด้านนวัตกรรมเมือง วัฒนธรรม บูรณาการ และอุตสาหกรรม ชี้ว่า เวียดนามควรมีท่าทีเชิงรุกและกลยุทธ์แบบผู้ริเริ่ม ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศที่กำลังสร้างภูมิทัศน์สมาร์ทซิตี้โลก
เวียดนามจึงมีโอกาสสร้างสมาร์ทซิตี้ที่มีเอกลักษณ์แบบเวียดนาม ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง IoT, AI และบล็อกเชน อย่างครอบคลุม ขณะเดียวกันก็ยังต้องปรับให้เข้ากับบริบทเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ
ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เวียดนามไม่ได้เลือกนักลงทุนหรือเทคโนโลยีรายใดรายหนึ่ง แต่กำลังวางบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ที่ออกแบบแพลตฟอร์มเปิดเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม โมเดลนี้ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้แรงงานเวียดนามเข้าถึงและเชี่ยวชาญเทคโนโลยีหลักที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมาร์ทซิตี้
ปี 2027 ถูกคาดหมายว่าจะเป็นจุดเปลี่ยน
โครงการสมาร์ทซิตี้แห่งแรกจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อทรัพยากรด้านการเงิน เทคโนโลยี และบุคลากรพร้อมเพียงพอ ขั้นตอนนี้จะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากท้องถิ่นนำร่องที่ทดลองใช้ก่อนขยายครอบคลุมทั่วประเทศ
สมาร์ทซิตี้สะท้อนการบรรจบกันของ “รัฐบาลดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล และสังคมดิจิทัล” ซึ่งเป็นสามเสาหลักของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลแห่งชาติของเวียดนาม ความสำเร็จในการสร้างสมาร์ทซิตี้ไม่เพียงจะเปิดเส้นทางใหม่ในการบริหารจัดการ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามบนเวทีโลกอีกด้วย