คดี‘ชินวัตร’จุดเปลี่ยนการเมือง จับตายึดดีลเดิม เปลี่ยนดีลใหม่
การเมืองเดินมาถึงจุดพลิกเกม พลิกกระดานอำนาจ เมื่อ 3 คดีความของ“พ่อ-ลูก ชินวัตร” ผ่านกระบวนการพิจารณาของ “ศาล” จนมาถึงวันนัดหมายชี้ขาดคดี ชี้ชะตาการเมือง สองคดีของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ อยู่ในมือของ ศาลอาญา และ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนึ่งคดีของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ และรมว.วัฒนธรรม อยู่ในมือของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
“คนการเมือง” ทั้งที่อยู่ในเกม อยู่นอกเกมต่างรอลุ้นคำพิพากษา คำสั่งทางคดี คำวินิจฉัย เพื่อกำหนดเกม กำหนดดีล ไม่ให้ตกขบวน
คดีแรก 22 ส.ค.2568 ปมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณี “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ต่างประเทศที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งมีเนื้อหาถูกกล่าวหาว่าพาดพิงดูหมิ่นสถาบัน
โดยคดีดังกล่าว “อัยการสูงสุด” สั่งฟ้อง “ทักษิณ” ไปเมื่อเดือน มิ.ย. 2567 จากนั้น “ศาลอาญา” มีคำสั่งให้การพิจารณาคดีเป็น“การลับ”มาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นคดีที่วางเงื่อนไขการประกันตัว ห้ามเจ้าตัวออกนอกราชอาณาจักร หากไม่ได้รับอนุญาต
จนกระทั่งวันที่ 16 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนคดี โดย “ทักษิณ” เบิกความด้วยตนเอง ก่อนที่ “ทีมทนาย” แถลงต่อศาล ว่าไม่มีพยานจำเลยเพิ่มเติม ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 22 ส.ค.2568 เวลา 10.00 น.
“ทักษิณ” คงต้องลุ้นหนัก ว่าจะรอดหรือร่วง เพราะหากโดนตัดสินให้มีความผิด แม้จะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่จะอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงทันที เนื่องจากการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดคดี ม.112 ร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอเข้าสภาฯ ถูกตีตกไปแล้ว ดังนั้นประตูทางรอดที่เคยหวังว่าจะใช้ช่องนิรโทษกรรมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองจึงถูกปิดตาย
หากคาดการณ์คำพิพากษาของ “ศาลอาญา” มีสองแนวทาง หนึ่งคำให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ของ “ทักษิณ” ไม่พบกระทำผิดเข้าข่าย ม.112 ทำให้ “ทักษิณ” พ้นบ่วงทางคดี นอกเสียจาก “อัยการ” จะเห็นแย้ง ซึ่งสามารถยื่นอุทธรณ์คดีได้
แนวทางที่สอง หาก “ศาลอาญา” พิพากษาว่าคำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” เข้าข่ายการกระทำผิด ม.112 เจ้าตัวจะมีโทษตามคำพิพากษา โดยมีโอกาสยื่นประกันตัว ออกมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ได้เช่นกัน
ลุ้นชะตา“แพทองธาร”พ้นนายกฯ?
คดีที่สอง 29 ส.ค.2568 “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดอ่านคำวิจฉัยปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร” กับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดย 36 สว. เข้าชื่อยื่นให้วินิจฉัยกรณีไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
โดยก่อนหน้านี้ “แพทองธาร” ใช้สิทธิขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จนศาลรัฐธรรมนูญขีดเส้นตายให้ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวในวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 21 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคล 2 ปาก ประกอบด้วย “แพทองธาร” และ “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ทั้งนี้ หากไม่มาตามกำหนดนัด ถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล
โดยให้ผู้ร้อง หรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดี ให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันที่ 27 ส.ค. หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น
จากนั้นในวันที่ 29 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ พร้อมนัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. โดยจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวน และฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล
สำหรับแนวทางคำวินิจฉัย หาก “แพทองธาร” พ้นผิดจะสามารถกลับไปมีอำนาจเต็มในฐานะนายกฯ และลดเงื่อนไขของ “แนวต้าน” ที่พยายามปลุกการชุมนุมไปได้ด้วย
แต่ในทางตรงกันข้าม หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “แพทองธาร” พ้นจากเก้าอี้นายกฯ เกมจะเข้าสู่กระบวนการโหวตเลือก “นายกฯคนใหม่” ทันที
โดยรายชื่อผู้ที่จะมีสิทธิถูกเสนอชื่อโหวตในที่ประชุมสภาฯ ประกอบด้วย “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคภูมิใจไทย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคประชาธิปัตย์
ป่วยทิพย์จุดเสี่ยง“ทักษิณ”กลับเรือนจำ
คดีที่สาม 9 ก.ย.2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีป่วยทิพย์รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยที่ผ่านมา ศาลไต่สวนพยานอย่างเข้มข้น มุ่งเน้นการไต่สวน “ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์” สอบถามขั้นตอนการควบคุมตัว เกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำตามกรอบ 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน
โฟกัสหลักของ “ศาล” มุ่งไปที่บันทึกของพยาบาลเวรที่ขอส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษานอกเรือนจำ บันทึกของแพทย์โรงพยาบาล
ตำรวจ ขณะมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 หรือที่เรียกว่า Progress note บันทึกของพยาบาลที่เฝ้าไข้ หรือที่เรียกว่า Nurse note
พร้อมสอบทานว่า แผนการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ในแต่ละช่วงแพทย์บันทึกอาการไว้อย่างไร เพื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และจัดเป็นอาการ “วิกฤติ” หรือ “ฉุกเฉิน” หรือไม่อย่างไร
คาดการณ์แนวทาง คำสั่งทางคดีมีได้ 3 แนวทาง หนึ่ง “ทักษิณ” ป่วยจริง โดยขั้นตอนการนำเข้ารักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจ ถูกต้องทุกกระบวนการ จะทำให้เขาพ้นผิด และหลุดพ้นข้อกล่าวหา
สอง “ทักษิณ” ป่วยจริง แต่ขั้นตอนการนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมายและระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ในส่วนนี้อาจจะทำให้ “กรมราชทัณฑ์ - หมอ - พยาบาล” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะมีความผิด
สาม “ทักษิณ” ป่วยจริง ขั้นตอนการนำตัวเข้ารับการที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจไม่ถูกต้อง นอกจาก “กรมราชทัณฑ์ - หมอ - พยาบาล” อาจจะมีความผิดแล้ว ตัวของ “ทักษิณ” อาจจะให้เริ่มบังคับคดีใหม่ ด้วยการกลับเข้าเรือนจำ
ต้องยอมรับว่าปมดังกล่าว เป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้ “ทักษิณ” ตกอยู่ในสถานะ “เสือลำบาก” เนื่องจากมีแรงต้านจาก “เครือข่ายอนุรักษ์” ที่ไม่ปลื้มกับปฏิบัติการ “ป่วยทิพย์”
ทั้งหมดคือ 3 คดีที่จะชี้ชะตา “ตระกูลชินวัตร” ที่ส่งผลต่อการพลิกเกมการเมือง แม้ “ดีลกลับประเทศ” จะได้รับตั๋วจาก “หัวขบวนอนุรักษ์” แต่ฉากการบริหารอำนาจของ 2 พ่อลูก “ทักษิณ-แพทองธาร”อาจไม่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน
จึงต้องจับตา “หัวขบวนอนุรักษ์” จะยังยึดดีลเดิม หรือเปลี่ยนดีลใหม่ เปิดทางให้ “คนไว้ใจ” เข้ามาบริหารสถานการณ์แทน