โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

วัดในฐานะ ‘สถานชีวาภิบาล’ ทางเลือกของผู้ป่วย หรือช่องโหว่ของระบบสุขภาพไทย?

The MATTER

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Politics

วัดพระบาทน้ำพุ วัดที่ใครต่อใครต่างรู้จักมาอย่างยาวนาน เพราะขึ้นชื่อเรื่องการดูแลผู้ป่วยโรค HIV อย่างไรก็ตาม ขณะนี้วัดพระบาทน้ำพุกำลังถูกสังคมกล่าวถึงโดยเฉพาะ ‘ความโปร่งใส’ ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค เรื่องที่ดิน หรือแม้แต่ประเด็นการดูแลผู้ป่วยเอชไอวี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของวัดประมาณ 125 คน

ทั้งนี้ หากมองในมุมอื่นๆ ทุกคนเคยสงสัยไหมว่า แล้วเหตุใดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างวัด ถึงมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้ายแรง ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงไม่เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาล ที่อาจมีเครื่องมือที่พร้อม มีงบประมาณที่มากกว่า หากเทียบกับวัดที่ต้องเปิดรับบริจาค เพื่อนำเงินมาดูแลผู้ป่วย

โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ระบบสุขภาพ เข้าไม่ถึงคนทุกกลุ่ม

สำหรับคนที่อาศัยอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ หรือใจกลางเมือง อาจจะเข้าอกเข้าใจดีว่า การเดินทางไปยังโรงพยาบาล ที่ครอบคลุมการรักษาทุกการเจ็บป่วย เป็นเรื่องไม่ง่ายหนัก ด้วยเส้นทางที่ห่างไกล รถสาธารณะที่เข้าไม่ถึงทุกพื้นที่ ดังนั้นการเดินทางครั้งหนึ่ง ต้องใช้ทั้งเวลา ทั้งเงิน หรือแม้แต่แรงกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยหลายคน ที่ป่วยเรื้อรัง ติดเตียง จึงเลือก ‘วัด’ ที่มีการเปิดรับผู้ที่ต้องการรักษาแบบประคับประคอง แทนการเดินทางไปโรงพยาบาล ที่ห่างไกล หมอไม่พอ รอนาน

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานจำนวนแพทย์ประชากรไว้ที่แพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน ขณะที่ตัวเลขของไทยอยู่ระหว่าง 0.5-0.8 คนต่อประชากร 1,000 คน โดยในภาครัฐอาจมีเพียง 0.5 ต่อประชากร 1,000 คน หรือแพทย์ 1 คนต่อประชากร 2,000 คน

ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายสาธารสุขและการเกษตรของสถาบัน TDRI กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้แพทย์ออกจากโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดว่า

“คำตอบคือมีทั้ง ‘แรงดึง’ และ ‘แรงผลัก’ โดยแรงดึง (ออก) นั้น มีทั้งเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพ เช่น การไปศึกษาต่อเพื่อเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ หรือเป็นแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งในภาคเอกชนที่ปกติมีรายได้สูงกว่าภาครัฐ และการไปอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีแทบทุกอย่างครบครัน ส่วนแรงผลักที่สำคัญคือ ภาระงานที่ค่อนข้างหนัก เพราะจำนวนแพทย์ในหลายโรงพยาบาลมีจำนวนน้อย รวมถึงยังมีปัญหาการกระจายงานภายในโรงพยาบาลอีกด้วย”

ความเห็นข้างต้นสอดคล้องกับการเสวนาในเวที ‘ความร่วมมือเพื่อยกระดับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพของผู้ประกันตน’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 ที่ย้ำจุดยืนว่าสุขภาพต้องมีมาตรฐานเดียวกัน และทุกคนต้องเข้าถึงการรักษาที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ประธานคณะอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภคชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในระบบปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงบริการเชิงป้องกัน เช่น การคัดกรองโรค วัคซีน การดูแลหญิงตั้งครรภ์ และการเข้าถึงยาคุมกำเนิดหรือถุงยางอนามัย ซึ่งผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถรับบริการเหล่านี้ได้ฟรีจากสถานบริการใกล้บ้านหรือร้านขายยาที่ร่วมโครงการ ในขณะที่ผู้ประกันตนที่ต้องส่งเงินสมทบทุกเดือน กลับไม่สามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้เท่าเทียมกัน

สำหรับเสียงสะท้อนจากผู้ประกันตนที่เข้าร่วมในเวทีหารือดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างของระบบประกันสังคม ที่ไม่เพียงแต่สิทธิประโยชน์น้อยกว่าระบบอื่น แต่ยังต้องใช้เงินสมทบจากตัวเองในการดูแลสุขภาพ ขณะที่ระบบอื่นรัฐเป็นผู้รับภาระเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์

และความเหลื่อมล้ำยิ่งชัดเจนเมื่อมองลึกไปถึงการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะผู้ประกันตนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งไม่สามารถเข้ารับบริการจากโรงพยาบาลลูกข่ายหรือโรงพยาบาลชุมชนได้ ต้องเดินทางไกลนับร้อยกิโลเมตร เพื่อรับบริการจากโรงพยาบาลคู่สัญญาประจำจังหวัด ซึ่งเป็นภาระอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องเดินทางเป็นประจำ

ภาระที่มากมายของโรงพยาบาล ‘วัด’ จึงเป็นอีกทางเลือกของผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขับเคลื่อน ‘นโยบายสถานชีวาภิบาล’ ที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกเร่งดำเนินการด้านสาธารณสุขของรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การดูแลผู้ป่วยในลักษณะประคับประคอง (Palliative care)

การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care คือ การดูแลที่มีมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว โดยลดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เป็นการดูแลควบคู่กับการรักษาหลักที่มุ่งหวังกำจัดตัวโรค การดูแลแบบประคับประคองจะคำนึงถึงความต้องการและความปรารถนาของผู้ป่วยและครอบครัวร่วมด้วยเสมอ

นับตั้งแต่ปี 2567 ปัจจุบันมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เช่น องค์กรศาสนา องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ (ศพส.) และสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ ได้สมัครขึ้นทะเบียนเป็นสถานชีวาภิบาลกับ สปสช.เป็นจำนวน 38 แห่ง โดยกระจายอยู่ทั่วประเทศ

“สถานชีวภิบาลเป็นบริการที่มุ่งเน้นในการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดี ไม่เพียงแต่ทางกาย แต่ยังให้การเยียวยาในด้านจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยระยะสุดท้าย” นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าว

สถานชีวภิบาลที่ขึ้นทะเบียน เช่น สถานชีวาภิบาลวัดมาตานุสรณ์ (กัญไชยนุสรณ์), สถานชีวาภิบาลพระภิกษุอาพาธ วัดทับคล้อ สวนพระโพธิสัตว์, บ้านพักผู้สูงอายุ เบธานี ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง และวัดพระบาทน้ำพุ

ซึ่งเท่าที่เราสังเกตรายชื่อสถานชีวภิบาล ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น ‘วัด’ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย พิษณุโลก พิจิตร ลพบุรี และระยอง เท่ากับว่าวัดที่รับผู้ป่วยในประเทศไทยมีหลายแห่ง ที่ไม่ใช่แค่วัดพระบาทน้ำพุ

Photo by NICOLAS ASFOURI / AFP

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าวัดเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ภาครัฐก็ให้การสนับสนุน เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง

ยกตัวเช่น วัดพระบาทน้ำพุ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยกระดับให้เป็นต้นแบบของ ‘สถานชีวาภิบาลเขตสุขภาพที่ 4’ พร้อมขึ้นทะเบียนเป็น ‘หน่วยชีวาภิบาล’ ในระบบบัตรทอง รองรับผู้ป่วยระยะท้ายในจังหวัดลพบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง ให้การดูแลอย่างมีมาตรฐาน เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายจากไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา

เหตุผลสำคัญที่วัดกลายเป็นสถานชีวาภิบาล เนื่องจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัดมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งยังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นการทำให้วัดกลายเป็นพื้นที่ที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ป่วยเรื้อรัง หรือติดเตียง จะช่วยลดปัญหาทั้งการเดินทาง ค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่ลดภาระของครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วย

เสียงจากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่วัด

หลังจากที่วัดพระบาทน้ำพุกลายเป็นที่พูดถึงในสังคม ถึงความโปร่งใสในการรับเงินบริจาคเพื่อมาดูแลผู้ป่วย Thai PBS ได้ทำการลงพื้นที่และสำรวจความเป็นอยู่ของพวกเขา

ผู้ช่วยเหลือคนป่วย วัดพระบาทน้ำพุ แสดงความเห็นว่า กระแสข่าวขณะนี้ทำให้ผู้ป่วยบางส่วน กังวลว่าจะไม่มีสถานที่พักฟื้นให้พวกเขาได้พึ่งพา

“บางคนอยู่ที่นี่มานาน 10-20 ปี จนแข็งแรง อาการดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้กลับบ้าน เพราะญาติไม่มารับ”

นอกจากวัดพระบาทน้ำพุ ยังมีวัดอีกมากมายที่รับดูแลผู้ป่วยด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน อย่างศูนย์ดูแลพระป่วยวัดทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับพระและญาติโยมที่ประสบปัญหากับโรคสุขภาพเรื้อรัง เนื่องจากการเดินทางไปหาหมอค่อนข้างลำบาก เพราะสถานที่บริเวณวัดไม่มีรถประจำทาง ต้องเหมารถออกไปทั้งพระและญาติโยม แต่ก็ไม่ค่อยมีรายได้ ดังนั้นพวกเขามักเลือกที่จะซื้อยากินมากกว่าไปหาหมอ

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการรักษาทางกาย วัดยังช่วยรักษาทางใจอีกด้วย ตามคำกล่าวของ นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ที่ระบุว่า สถานชีวภิบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดี ไม่เพียงแต่ทางกาย แต่ยังเยียวยาด้านจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยระยะสุดท้าย

Photo by MADAREE TOHLALA / AFP

อีกสถานที่หนึ่งที่ถือเป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือ ‘ผู้ติดสารเสพติด’ ได้แก่ วัดถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรี ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นสถานพยาบาลประเภทสถานฟื้นฟูสมรรถภาพ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ปัจจุบันวัดถ้ำกระบอกรับรักษาผู้ติดยาเสพติดทุกประเภท และเปิดรับคนทุกเชื้อชาติและศาสนา

ชัชวาล วรารักษ์ ชาวกรุงวัย 25 ปี กล่าวกับ BBC Thai ในบทความวันต่อต้านยาเสพติดโลก : เยือนวัดถ้ำกระบอก กับ “สัจจะ”และสมุนไพร ที่ใช้บำบัดผู้ติดยามา 6 ทศวรรษว่า "ไปโรงพยาบาล 3 แห่ง สุดท้ายเขาจ่ายเป็นยาเคมี กดประสาทแทน พอกินยาก็จะไม่อยากยาเสพติด แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็อยากเล่นยาอีก มันตัดที่ปลายเหตุ ทีนี้ก็เสพยาหนักขึ้น สุขภาพจิตก็แย่ลง เลยบอกที่บ้านไปตรง ๆ ว่าติดยา"

วัดถ้ำกระบอก ชี้ว่า หลังการบำบัดครบ 15 วัน ผู้ป่วยบางคนอาจยังไม่พร้อมกลับออกไปใช้ชีวิตตามปกติที่ต้องเผชิญกับสิ่งยั่วยุ ซึ่งอาจทำให้กลับไปเสพยาอีก ซึ่งทางวัดยินดีให้อยู่ต่อจนกว่าผู้ป่วยรู้สึกพร้อม หรือบางในกรณี ผู้ป่วยก็พบแสงสว่างในชีวิตและเลือกที่จะบวชเพื่อขัดเกลาจิตใจ

ด้วยเหตุนี้ ‘วัด’ หลายแห่งจึงกลายเป็นอีกสถานที่ที่รองรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งด้านสภาพร่างกาย หรือแม้แต่จิตใจ วัดเหล่านี้ถูกเรียกว่าสถานชีวาภิบาล ที่ได้การรับรองจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธา ความไว้เนื้อเชื่อใจ ท่ามกลางสภาวะที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์

เป้าหมายหลักของสถานชีวาภิบาล คือ การลดภาระของโรงพยาบาลและบุคลากรทางแพทย์ในต่างจังหวัด แต่ถึงอย่างนั้นเราอาจจะมองได้อีกมุมหนึ่งว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่หรือความไม่เท่าเทียม ในการเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลของคนทุกคนหรือเปล่า

อ้างอิงจาก

nhso.go.th

theactive.thaipbs.or.th

tcc.or.th

Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editor: Thanyawat Ippoodom

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

รมว.ศึกษาฯ เตรียมให้เด็กสอบวิชา ‘หน้าที่พลเมือง-ประวัติศาสตร์’ เพื่อคัดเลือกเข้าชั้นมัธยม

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สังเกต ตั้งคำถาม ลงมือทำ โลกที่ดีกว่า เราทุกคนช่วยกันได้ ถอดบทเรียน Green Inspiration Talk: Everyone can make the world better

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

สมเด็จพระสังฆราช เสด็จประทับ รพ.ศิริราช ชั่วคราว กำหนดเสด็จกลับ 19 ส.ค.

ไทยโพสต์

สนั่น! สตง. คว้าอันดับ1 ความโปร่งใส กลุ่มองค์กรอิสระ ผลการประเมิน ITA 94.64 คะแนน

MATICHON ONLINE

"สำนักเลขาฯ" ออกประกาศ "สมเด็จพระสังฆราช" เสด็จไปประทับโรงพยาบาลศิริราช

สยามรัฐ

สส.ปชน.แจ้งความปมซื้อเสียง 10โล รู้แล้วเป็นใคร โต้ ‘วิสุทธิ์’ เสพข่าวให้ครอบคลุม

Khaosod

‘กรมลดโลกร้อน’ จัดครบรอบ 2 ปีเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

เดลินิวส์

สตง.แชมป์องค์กรอิสระโปร่งใส ITA68 กกต.ที่ 2 ป.ป.ช.ที่ 3

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

สื่อสารเพื่อสันติ ไม่ใช่เพื่อยอดวิว มองบทบาทสื่อและอินฟลูฯ ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับ อ.สมัชชา นิลปัทม์

The MATTER

สำรวจหลักสำคัญการสื่อสารจากรัฐบาล ในช่วงเวลาสงครามข่าวสาร ที่ประชาชนต้องการ ‘ความจริง’ 

The MATTER

เงินเดือน 7,850 บาท ไร้สวัสดิการ ไร้ตัวตน ว่าด้วยปัญหาแรงงานชายขอบ ในระบบสาธารณสุขที่แทบไม่มีใครเห็น

The MATTER
ดูเพิ่ม