สังเกต ตั้งคำถาม ลงมือทำ โลกที่ดีกว่า เราทุกคนช่วยกันได้ ถอดบทเรียน Green Inspiration Talk: Everyone can make the world better
เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง คำถามสำคัญไม่ใช่แค่เราจะรอให้ใครมาเปลี่ยนโลก แต่คือ “เราจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆ ได้อย่างไร?
แม้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะดูใหญ่เกินตัว แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนมักเริ่มจากความตั้งใจเล็กๆ ของคนธรรมดา ที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าเชื่อว่าตัวเองมีส่วนร่วมได้
โครงการ Wonder Lab: Youth for Greener Tomorrow Powered by UOB คือหนึ่งในโครงการด้านความยั่งยืนของ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่เชื่อมั่นในพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า จึงเปิดพื้นที่และให้โอกาสเยาวชนออกแบบโปรเจกต์ด้านความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง โดยจะได้รับคำปรึกษาด้านการทำโครงการ การวางแผน และการสื่อสาร พร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยต่อยอดแนวคิดให้พร้อมนำไปปฏิบัติจริง
ที่สำคัญยังมีการส่งต่อแรงบันดาลใจให้น้องๆ ผ่านกิจกรรม Green Inspiration Talk ในหัวข้อ ‘Everyone can make the world better’ ซึ่งมีสองผู้สร้างแรงบันดาลใจ ก้อง – ชณัฐ วุฒิวิกัยการ Influencer สายรักษ์โลก และ ผึ้ง – ปรัชญา เจริญสุข ศิลปินที่ใช้พลังของศิลปะสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อม มาร่วมแบ่งปันเส้นทางการลงมือทำจริง จุดเริ่มต้นที่ไม่ต้องใหญ่โต แต่เต็มไปด้วยความหมาย
แค่เปลี่ยนชีวิตประจำวัน โลกก็ดีขึ้นได้
เริ่มต้นที่คุณก้องได้แชร์ประสบการณ์ ก่อนจะมาเป็นหนึ่งใน 50 ครีเอเตอร์ระดับโลกในแคมเปญ TikTok Change Maker ที่เริ่มต้นง่ายๆ จากความรู้สึกผิด เมื่อการกินข้าวแค่หนึ่งมื้อ กลับสร้างปริมาณขยะมากถึง 10 ชิ้น ถ้าหากมี 10 คน เพียงมื้อเดียวก็สามารถสร้างขยะได้มากถึง 100 ชิ้นเลยทีเดียว จึงบันทึกปริมาณขยะที่ตัวเองสร้างขึ้นมาในชื่อว่า Trash Diary ผ่าน IG Story ของตัวเอง จากการบันทึกก็เริ่มขยับไปสู่การลงมือทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเตรียมถ้วยน้ำจิ้มไปที่ร้าน เพื่อลดปริมาณถุงพลาสติกใส่น้ำจิ้ม ก่อนจะเริ่มต้นแยกขยะแบบจริงจัง และเริ่มต้นชักชวนน้องๆ ในออฟฟิศมาร่วมกันด้วย สิ่งที่ค้นพบคือปริมาณขยะมหาศาล ที่ต้องช่วยกันลดปริมาณลงอย่างเร่งด่วน
“การทิ้งขยะทั้งหมดลงในถุงดํา ก็เหมือนเราซ่อนปัญหาไว้ภายใต้ถุงสีดําที่เรามองไม่เห็น วันรุ่งขึ้นก็มีคนเก็บมันออกไปจากบ้านเรา ราวกับปัญหานี้มันหายไปจากชีวิตแล้ว แต่จริงๆ แล้วปัญหามันไม่ได้หายไป แต่ว่ามันไปกองอยู่ที่ใดที่หนึ่ง นั่นก็คือหลุมฝังกลบ” คุณก้องเปรียบเทียบว่า การทิ้งขยะลงในถุงสีดำไม่ใช่การจัดการขยะที่แท้จริง ซึ่งการฝังกลบคือวิธีหลักในการจัดการขยะของประเทศไทย ซึ่งทั้งประเทศมีหลุมฝังกลบ 1,800 กว่าแห่ง แต่มีเพียงไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ที่มีการจัดการขยะอย่างถูกต้อง จึงมีโอกาสที่ขยะจะหลุดรอดไปสู่ธรรมชาติได้ง่ายดายมากๆ และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ลามไปสู่ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเช่น ไมโครพลาสติก ที่อาจเข้าไปอยู่ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ได้
คุณก้องเน้นย้ำว่า ก่อนจะไปลงมือถึงขั้นแยกขยะ อยากให้เริ่มต้นง่ายๆ เพียงแค่ถอยออกมาตั้งต้นว่า อะไรในชีวิตประจำวันที่เราสามารถลดได้ก่อน เช่น ถุงพลาสติก แก้วกาแฟ หรือหลอดกาแฟที่เรารับมาทุกวัน ลดการสร้างขยะด้วยการนำภาชนะไปใส่อาหาร พกหลอด พกแก้วส่วนตัวแทน สร้างเป็นชาเลนจ์ว่าในเดือนๆ หนึ่งจะสามารถลดการสร้างขยะไปได้เท่าไร
ใช้กระบวนการศิลปะ สร้างความตระหนัก
ส่วนทางด้านคุณผึ้ง ได้มาแชร์ถึงจุดเริ่มต้นในการสื่อสารประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับขยะทะเล ผ่านการใช้ศิลปะซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดที่สุด โดยเริ่มต้นจากสมัยเรียน ได้มีโอกาสลงพื้นที่บริเวณหาดทรายรี จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นบ้านเกิด สิ่งที่พบเจอคือกองขยะปริมาณมหาศาลที่ถูกคลื่นซัดมากองเต็มชายหาด ภาพที่สะดุดตาคือพลาสติกสีสันสดใส ที่โดดเด่นขึ้นมาจากเศษกิ่งไม้และผืนทราย และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานชิ้นแรกที่ชื่อว่า ‘สิบห้าค่ำ เดือนสิบสอง’ ศิลปะจัดวางที่ใช้เศษไฟแช็ก เศษกระทง และของใช้จากประเพณีลอยกระทง มาตั้งคำถามถึงพิธีกรรมที่ควรเป็นการขอขมาธรรมชาติ แต่กลับกลายเป็นการฝากขยะไว้กับแม่น้ำแทน
แรงสะเทือนใจของคุณผึ้งไม่ได้หยุดอยู่แค่ขยะชิ้นใหญ่ที่เห็นได้ด้วยตา แต่ยังลึกลงไปถึง ไมโครพลาสติก หลังจากได้เห็นข่าวการตรวจพบไมโครพลาสติกในปลาทู อาหารยอดนิยมของคนไทย คุณผึ้งใช้ความเป็นศิลปินในการหาคำตอบและถ่ายทอดประเด็นปัญหาออกมาให้ผู้คนได้ตระหนัก กับผลงานที่ชื่อว่า ‘หาดทรายรี’ โดยการนำทรายบริเวณชายหาด มาร่อนผ่านผ้าตะแกรงถี่ เพื่อเก็บเศษไมโครพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรออกมาจัดวางลงบนผืนงานศิลปะขนาด 5x5 มิลลิเมตร เพื่อสื่อให้เห็นว่าไมโครพลาสติกแฝงเกือบในทุกอณูของผืนทรายแล้ว กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอคว้ารางวัลระดับประเทศจากเวที UOB Painting of the Year ต่อด้วยผลงาน ‘ปากน้ำชุมพร’ ที่ถ่ายทอดความเชื่อมโยงของแม่น้ำ ชุมชน และทะเล ที่กำลังเผชิญกับปัญหาไมโครพลาสติก ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่กำลังเกิดขึ้นกระจายอยู่ในทุกพื้นที่
“ภาษาศิลปะ เป็นเหมือนกับภัยอันตรายที่มองไม่เห็นของไมโครพลาสติก เวลาดูงานศิลปะเมื่อมองตัวผลงานจากระยะไกลๆ หรือมองผ่านๆ ไป ผู้ชมก็อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าเขาสงสัย ตัวงานก็จะดึงดูดให้เขาได้ลองสำรวจดู จนรับรู้ถึงปัญหา และศึกษาหาข้อมูลต่อจากนั้นด้วยตัวเอง” คุณผึ้งอธิบายถึงกระบวนการของการใช้ศิลปะเพื่อสร้างความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม
คุณผึ้งยังได้ขยายต่อยอดการสร้างความตระหนักไปสู่การจัดกิจกรรมเวิร์คช็อป ทั้งการแยกขยะ สร้างพวงกุญแจจากขยะทะเล เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการลงมือทำ ไปจนถึงการสร้างแบรนด์จิวเวลรี่เล็กๆ ที่นำขยะจากทะเลกลับมาใช้ใหม่อย่างสวยงาม
ทั้งคุณก้องและคุณผึ้ง ล้วนมีจุดเริ่มต้นคล้ายกันคือเริ่มจากการสังเกต ตั้งคำถาม และนำไปสู่การลงมือทำ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นการลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ ก่อนจะต่อยอดไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือการสร้างการรับรู้ในวงกว้างตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เพื่อยืนยันถึงคำตอบว่า โลกจะดีขึ้นได้ ด้วยพลังของเราทุกคน