โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กลุ่มโรงแรมพ้นจุดต่ำสุุด ครึ่งปีหลังสดใสไฮซีซั่น-รัฐกระตุ้น

Manager Online

เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

หุ้นกลุ่มโรงแรมครึ่งปีหลังสดใส นักวิเคราะห์ประเมินพ้นจุดต่ำสุด เชื่อมาตรการร้ฐกระตุ้น หนุนท่องเที่ยวคึก ลุ้นให้สิทธิลดหย่อนภาษีวงเงิน 15,000 บาท ดันการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ตลอดจนร้านค้า-สะดวกซื้อ เชื่อครึ่งปีหลังนักท่องเที่ยวหวนกลับเที่ยวไทยยาวถึงต้นปี 69 ขณะตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20,197,119 คน โบรกเกอร์เลือก CENTEL และ MINT หุ้นเด่นในกลุ่มตามด้วย ERW และ SHR จะได้ sentiment เชิงบวกมาก

การกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึง10 ส.ค. 68 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 20 ล้านคน ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาดจากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหยุดฤดูร้อนและการมีวันหยุดต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 86.33% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอันดับที่ 3 จากเดิมในอันดับที่ 5 อีกทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดอิสราเอลที่เดินทางท่องเที่ยวหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติศาสนกิจภายในประเทศในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า

ดังนั้น พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 627,339 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 41,529 คน หรือ 7.08 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 89,620 คน และ 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือจีน 102,750 คน , มาเลเซีย 85,622 คน ,ญี่ปุ่น 37,611 คน , อินเดีย 35,387 คน และเกาหลีใต้ 32,320 คน โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น มาเลเซีย และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 86.33% 10.58% และ 5.55 % ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ และอินเดีย มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า

อย่างไรก็ดีสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การปิดภาคเรียนในภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาทิ จีน และญี่ปุ่น การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬา การมีมาตรการ Ease of Traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น จากต้นปีถึงปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 20,197,119 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 937,653 ล้านบาท โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก คือจีน 2,835,910 คน, มาเลเซีย 2,785,725 คน, อินเดีย 1,426,080 คน,รัสเซีย 1,144,105 คน และเกาหลีใต้ 950,692 คน

ต่างชาติหวนกลับเที่ยวไทย หนุนโรงแรมคึก

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ประเมินหลังครึ่งปีแรก ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยว 16.69 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 7.43 แสนล้านบาทอย่างไรก็ตาม ภาพรวมบ่งชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2568 จากประเด็นความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน ดังนั้น จึงปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงเป็น 34.1 ล้านคน (จากเดิม 36.5 ล้านคน)และปี 69 ลงเป็น 35.5 ล้านคน (จากเดิม 38.0 ล้านคน ) ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครึ่งแรกปี68 จะคิดเป็น 48.9% ของหน้านี้โดยมีปัจจัยลบ ทั้งแผ่นดินไหว,สงครามการค้าสหรัฐและเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างไรก็ตาม จึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ Overweight โดยเลือก MINT เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มนี้และประเมินราคาเป้าหมายกลางปี69F ที่ 33.50 บาท (อิงจาก EV/EBITDA ที่ 9x หรือเท่ากับ -1.0S.D.)

โดยมองว่าโรงแรมส่วนใหญ่น่าจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปีนี้ เพราะมองบวกน้อยลงกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68F ในครึ่งแรกปี68 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยว 16.69 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 7.43 แสนล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติสามอันดับแรกมาจากจีน, มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ขณะที่มีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมบ่งชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 68 จากประเด็นความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ การฟื้นตัวเมื่อเทียบกับระดับก่อนโควิดระบาด (ปี62) ยังต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอย่าง เช่น ญี่ปุ่นและเวียดนาม โดยการฟื้นตัวของไทยยังต่ำกว่าเมื่อปี 62 อยู่ 12%

ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ถูกสั่งให้ปรับแผนการตลาดในครึ่งหลังปี 68 โดยเน้นให้ความสำคัญกับกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มียอดจับจ่ายสูง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง (สำหรับ medical tourism), สเปน, เยอรมนี, สวีเดน, อังกฤษ,แคนาดา, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ประเทศไทยกำลังมุ่งเน้นพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน, เพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเดิม, สร้างจุดหมาย

ด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ความริเริ่มใหม่ ๆ มีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนจุดหมายการท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักให้เป็น hotspot ด้านการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ด้วยการใช้ประโยชน์จาก mobility data เพื่อระบุ cluster ของเส้นทางท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง

อย่างไรก็ดี ปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68F ลง 6.7% และ ปี 2569F ลง 6.6%เมื่อพิจารณาจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครึ่งปีแรก คิดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง 34.1% เทียบปีก่อน น่าจะทำให้การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 68F ต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ดังนั้น จึงปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงเป็น 34.1 ล้านคน (จากเดิม 36.5 ล้านคน) และในปี 69 ลงเป็น 35.5 ล้านคน (จากเดิม 38.0 ล้านคน) ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 48.9% ของประมาณการเต็มปี เมื่อมองต่อไปข้างหน้า คาดว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะตามปกติการท่องเที่ยวจะชะลอตัวตามฤดูกาลในไตรมาสไตรมาส 3 จากนั้นจะเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ไม่ได้มองบวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนในครึ่งปีหลัง เพราะคาดว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะลดลง 30.0% ในปี 68F แต่คาดว่าการเติบโตจะมาจากนักท่องเที่ยวทางฝั่งยุโรป, เอเชียใต้, Oceania และญี่ปุ่น ส่งผลต่อเนื่องในปี 69F คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35.5ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.1% คาดน่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดในครึ่งแรกปี 68F

ทั้งนี้ คาดธุรกิจโรงแรมจะแผ่วลงเมื่อเทียบไตรมาส ซึ่งตามปกติไตรมาส 2 และ 3 จะเป็นฤดูที่การท่องเที่ยวไทยชะลอตัว ดังนั้นเชื่อว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 2 ปีนี้จะไม่น่าตื่นเต้น ส่งผลให้แนวโน้มของกลุ่มโรงแรมน่าจะได้แรงส่งจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลอย่างโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 68 จำนวน 1 ล้านสิทธิ์ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 68 ประกอบกับการอุดหนุนจากรัฐบาล

บล.กสิกรไทย มีมุมมองอนุรักษ์นิยมมากขึ้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า จึงปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าปี 68 จาก 35.9 ล้านคน เหลือ 34.5 ล้านคน ซึ่งลดลงจาก 35.5 ล้านคนในปี 67 ทั้งนี้ สมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า และกลุ่มโรงแรมยังต้องรอปัจจัยกระตุ้น ทั้งนี้ สมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าปี 2568 อยู่ในระดับเดียวกับประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งถือว่ามีความระมัดระวังมากกว่าประมาณการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ 40 ล้านคน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 39.5 ล้านคน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 38 ล้านคน มุมมองระมัดระวังของเราสะท้อนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีน

โดย RevPar เติบโตหนุนจาก ADR ผู้บริหารของหุ้นโรงแรมทั้ง 7 บริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของเราไม่มีแผนปรับลด ADR ในปี 68 โดยในไตรมาสแรกปี 68 หุ้นโรงแรมทั้ง 7 แห่งรายงานอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เฉลี่ยอยู่ที่ 4,049 บาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และ 4% เทียบปีก่อน ADR เฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 5,438 บาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนและ 3% จากปีก่อน ผลจากอัตราค่าห้องพักที่อยู่ในระดับสูงของโรงแรมในประเทศช่วงไฮซีซัน ขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCR) อยู่ที่ 73.1%

ดังนั้น ปรับลดกำไรปกติปี 2568-69 บล.กสิกรไทย ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 68 และ 69 ลง 13% และ 26 % ตามลำดับ เพราะราคาหุ้นลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับโรงแรมในภูมิภาค ราคาหุ้นโรงแรมไทยปรับตัวลดลงมากที่สุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ -28.6% YTD เมื่อเทียบกับราคาหุ้นโรงแรมเอเชียที่ลดลงเฉลี่ย 7.5 % YTD และราคาหุ้นโรงแรมสหรัฐฯ ที่ลดลง 5.8% YTD ขณะที่ราคาหุ้นโรงแรมยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.6% YTD แต่ยังด้อยกว่าดัชนี MSCI EU ที่เพิ่มขึ้น 19.9% YTD

โดยยังคงมุมมองเป็นกลางสำหรับกลุ่มโรงแรม แต่มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า หลังจากที่ ททท. รายงานการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าติดต่อกัน 3 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2568 นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่ผลักดันกลุ่มธุรกิจนี้อย่างไรก็ตาม ในแง่ของราคาหุ้น เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าไปแล้ว และหุ้นโรงแรมไทยในปัจจุบันยังดูถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นโรงแรมในภูมิภาค ทั้งในแง่ของ PER, PBV และ EV/EBITDA และให้หุ้่นเด่น CENTEL แนะนำ “ถือ” 30.73 บาท

บล.ดาโอ (ประเทศไทย)มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นดังกล่าวหากมาตรการนี้เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นได้ดี โดยเฉพาะช่วง Low season (ส.ค.-ก.ย.68) เบื้องต้นคาดว่าจะลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท ซึ่งจะคล้ายกับโครงการ easy E-receipt โดยยังต้องรอรายละเอียดว่าจะใช้แค่เมืองรองอย่างเดียว หรือรวมเมืองหลักด้วย

ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากปี 2567 ที่เคยมีโครงการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดามาแล้วที่ไม่เกิน 15,000 บาท สำหรับค่าที่พักและค่ามัคคุเทศน์ แต่ใช้ได้เฉพาะเมืองรอง 55 จังหวัด เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ค.-30 พ.ย.67 ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ในช่วงไตรมาส 2-3 ปี่ 67 เติบโตได้ราว 3-6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มโรงแรมในประเทศจะได้ประโยชน์ โดยเรียงจากมากไปน้อยคือ ERW, CENTEL, MINT และ SHR โดยยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มท่องเที่ยวเป็น “เท่ากับตลาด” และเลือก CENTEL เป็น Top pick ส่วน ERW จะเป็นหุ้นที่ได้ sentiment เชิงบวกมากที่สุดเพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศสูงถึง 88% ของรายได้รวม และครอบคลุมในเมืองรองสูงจาก Hop Inn อีกด้วย

สำหรับ ปัจจัยพื้นฐานและคำแนะนำการลงทุนของ ERW ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 2 จะลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จาก Low season ของไทย โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 268 ไว้ที่ 772 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวที่มากที่สุดในกลุ่มฯ เนื่องจากจะมีการ Renovate ที่ Grand Hyatt Erawan ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 20% ในไตรมาส 3-4 ปีนี้ให้คำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท

ส่วน MINT ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 68 ที่ 9.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะไทยและยุโรป ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34 บาท

ขณะที่ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปกติไตรมาส 2 อาจจะเห็นการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน (เดิมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น) อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท ลดลง 5% จากปีก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้คาดหวังกำไรจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 4 ปี 68 ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท

สุดท้าย SHR ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 68 อยู่ที่ 375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% จากปีก่อน จากการไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจาก SO Maldives และมีการบริหารค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยดีขึ้น คาดไตรมาส 2 จะพลิกกลับมาเป็นขาดทุนจาก Low season และจะพลิกกลับมาเป็นกำไรในไตรมาส 3 จากยอด On the book ที่ฟื้นตัวได้ดีทั้งไทยและมัลดีฟส์ ด้าน UK ยังคงเป็นช่วง High season ให้คำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 1.85 บาท

บล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น MINT ให้ราคาเป้าหมาย 38.60 บาท/หุ้น เพราะแผนการขาย REIT คาดเลื่อนเป็นช่วงไตรมาสแรกปี 69 จากช่วครึ่งหลังปี 68 เนื่องจากจะทำการ Delisting หุ้น MHEA ในสเปนก่อน คาดว่าจะใช้เงินราว 2.5-3.0 พันล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นอีก 4% ในตลาด โดยการ Delisting ครั้งนี้จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารงานมากขึ้น และเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงานในอนาคต อีกทั้ง MINT จะเน้นขยายธุรกิจแบบ Asset Light Model ทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร โดยจะใช้เงินลงทุนที่ลดลง และระยะการคืนทุนเร็วขึ้น ด้วยการอยู่ระหว่างการ Renovate 11 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะ Room Inventory ใหม่ จะเสร็จในช่วงไตรมาส 4ปี 68-ไตรมาสแรกปี 69 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศ และ คาด ADR จะสามารถเติบโต 20% จากเดิม ปัจจุบันมีโรงแรมที่ Maldives จำนวน 9 แห่ง ส่งผลให้มี Market Share รวมทั้งขยายธุรกิจ Food ไปยังประเทศอินโดนีเซยีและอินเดีย ที่มีการเติบโตของ Consumption rate ที่สูง และเพิ่มแบรนด์ร้านอาหารใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และเพิ่มความหลากหลาย

โดยโรงแรมในประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการ Renovate 11 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะ Room Inventory ใหม่ จะเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ปี 68 และไตรมาสแรกปี 69 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศ คาด ADR จะสามารถเติบโต 20% จากเดิม ปัจจุบันมีโรงแรมที่ Maldives จำนวน 9 แห่ง ส่งผลให้มี Market Share ขณะดอกเบี้ยยังคงลดลงจากปีก่อน ผลจากการคินเงินกู้คาดกำไรไตรมาส 3 นี้จะปรับตัวสูงขึ้นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโรงแรมในยุโรป จึงยังคงคาดกำไรปกติปี 68 ที่ 7.27 พันล้านบาท เติบโต 6.9% เทียบปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 38.60 บาท โดย MINT เป็น Top Pick ของกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากมีฐานรายได้จากต่างประเทศกว่า 70% ส่งผลให้ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลงอย่างจำกัด

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

“รสนา” จี้รัฐบาลแสดงความจริงใจห่วงใยบ้านเมือง ต่ออายุราชการ "แม่ทัพกุ้ง" อย่างน้อย 6 เดือน-เชิญมาเป็น รมว.กลาโหม

41 นาทีที่แล้ว

ยังโหดได้อีก! กองทัพยิวประกาศเริ่มใช้แผนบุกกาซาครั้งใหม่ ขณะเนทันยาฮูเดินกลยุทธ์ขับชาวปาเลสไตน์ออกไป

46 นาทีที่แล้ว

ทัพรัสเซียเร่งบุกยึดพื้นที่ภาคตะวันออกยูเครน ก่อนหน้าซัมมิตปูติน-ทรัมป์ที่อะแลสกาศุกร์นี้

52 นาทีที่แล้ว

เพื่อนดาราจัดคอนเสิร์ตระดมทุนค่ารักษา “จอย ทีสเกิ๊ต” สู้มะเร็ง “ยุ้ย” ชมจอยเข้มแข็งมาก ร้องไห้ครั้งเดียว

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

5 บัตรเครดิตเข้า Lounge สนามบินฟรี ใบไหนดีในปี 2568

SMART SME

Pacamara Coffee เปิด 24ชม.ในรพ.จุฬาฯ ลด 50% สำหรับบุคลากรทางการแพทย์

Manager Online

นบข.เคาะแจกเงินช่วยข้าวนาปี-นาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท สูงสุด 10 ไร่ ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 8.5 แสนครัวเรือน

VoiceTV

POP MART เปิดแฟลกชิพที่ไอคอนสยาม ทุบสถิติขายวันเปิดร้านสูงสุดเป็นประวัติการณ์

Manager Online

กรมบัญชีกลางต่อยอด New GFMIS Thai e - Tax ออกหลักฐานรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มใช้งาน 13 ส.ค. 2568

VoiceTV

‘วิทัย’ ว่าที่ ผู้ว่าการ ธปท. ขอบคุณธ.กรุงเทพ ลดดอกเบี้ย ดูแลภาคธุรกิจ-ประชาชน

เดลินิวส์

SAPPE ยันภาษีทรัมป์ไม่กระทบ งัดScenario Planning สู้ปัจจัยลบ

Manager Online

CPN ซื้อหุ้นคืนวงเงิน 5 พันล. เผยQ2/68 โกยกำไรเฉียด 4 พันล.

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Broker ranking 13 Aug 2025

Manager Online

SCB FM มองกนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ-บาทแข็ง-ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า

Manager Online

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.29-แข็งค่าขึ้นสอดคล้องสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...