EU หวนใช้คาร์บอนเครดิตนานาชาติในรอบ 12 ปี ดันอาเซียนรับโอกาสใหม่สู่เวทีโลก
สหภาพยุโรป (EU) กำลังส่งสัญญาณครั้งสำคัญต่ออนาคตตลาดคาร์บอนโลก หลังคณะกรรมาธิการยุโรปเสนอแผนให้ประเทศสมาชิกสามารถกลับมาใช้คาร์บอนเครดิตจากนานาชาติได้อีกครั้งในปี 2036
นับเป็นการเว้นช่วงยาวนานกว่า 12 ปี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จึงถูกมองว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 90% ภายในปี 2040 เมื่อเทียบกับระดับปี 1990 เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ตามพันธกรณีความตกลงปารีส
‘กลอยตา ณ ถลาง’ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธาน Carbon Markets Club เผยมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวว่า แม้สัดส่วนการใช้คาร์บอนเครดิตที่กำหนดไว้จะอยู่ที่เพียง 3% ของเป้าหมายปี 2040 ทว่าในเชิงปริมาณแล้วคิดเป็นหลายร้อยล้านตัน ซึ่งมากพอที่จะผลักดันการลงทุนข้ามพรมแดนและสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดคาร์บอนโลก
อย่างไรก็ตาม กลอยตาชี้ว่า เครดิตที่สหภาพยุโรปจะเปิดรับต้องเป็น ‘คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง’ ภายใต้กลไกขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะระบบ Article 6.4 ของความตกลงปารีส ซึ่งมุ่งสร้างตลาดที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันการนับซ้ำ โดยกล่าวว่า “คาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพไม่ใช่เพียงตัวเลขในบัญชี แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริงเพราะแรงจูงใจจากเครดิต มีการวัดผลและรายงานอย่างเข้มงวด และแสดงผลกระทบร่วมต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม”
การกลับมาใช้กลไกคาร์บอนเครดิตของยุโรปจึงไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเครดิตเพื่อนำไปชดเชยการปล่อย แต่เป็นการสร้างเครื่องมือเสริมที่ต้องเชื่อมโยงกับการลดการปล่อยจริงภายในประเทศ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประเทศในกลุ่ม Global South รวมถึงอาเซียน เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดคาร์บอนโลก
ซึ่งกลอยตาอธิบายต่อว่า Global South คือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่แม้จะมีประวัติการปล่อยก๊าซน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่กลับเผชิญผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ
“การเปิดรับเครดิตจากนอกภูมิภาคของยุโรป จึงเป็นโอกาสในการดึงเงินทุนจากภาคเอกชนประเทศพัฒนาแล้ว มาลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ เสริมศักยภาพท้องถิ่น และขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน” กลอยตากล่าวเสริม
ในบริบทของอาเซียน ความร่วมมือเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กำลังถูกวางรากฐานผ่านASEAN Common Carbon Framework (ACCF) ซึ่งมุ่งสร้างมาตรฐานร่วมและการเชื่อมโยงตลาดคาร์บอนในภูมิภาค โดยมีการกำหนดหลักการรับรองคุณภาพเครดิตเพื่อให้ตอบสนองต่อมาตรฐานสากล ซึ่ง Carbon Markets Club ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนไทย ก็มีบทบาทร่วมผลักดันการพัฒนากรอบนี้ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ
การเคลื่อนไหวของสหภาพยุโรปครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการกลับมาของตลาดคาร์บอนนานาชาติ แต่ยังเป็นแรงกระตุ้นให้อาเซียนเร่งยกระดับมาตรฐาน กฎระเบียบ และกลไกตรวจสอบ เพื่อก้าวสู่การเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่ตลาดโลกยอมรับ
“หนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งด้านกฎระเบียบและความพร้อมของประเทศในภูมิภาค แต่เป็นความท้าทายที่ควรค่าแก่การขับเคลื่อนร่วมกัน เพื่อให้ตลาดคาร์บอนอาเซียนก้าวขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” กลอยตา ณ ถลาง กล่าวทิ้งท้าย