"มาริษ" เตรียมฟ้อง UN กัมพูชาใช้โล่มนุษย์ป่วนบ้านหนองจาน
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือทวิภาคีกับ นางมาเรีย มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ณ กรุงสตอกโฮล์ม ว่าได้ชี้แจงสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกล่าวหากัมพูชาว่ามีการใช้ "โล่มนุษย์" และทำสงครามข่าวสารเพื่อยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเตรียมนำประเด็นนี้เข้าหารือในเวทีสหประชาชาติ (UN) และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ที่นครเจนีวาในวันพรุ่งนี้
นายมาริษกล่าวว่า ได้อธิบายให้ฝ่ายสวีเดนเข้าใจถึงต้นตอความขัดแย้งนับตั้งแต่กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร และย้ำว่าไทยยึดมั่นในกระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีมาโดยตลอด แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงจากการกระทำของกัมพูชา ทั้งการโจมตีด้วยทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และล่าสุดคือการใช้พลเรือนเป็นเครื่องมือสร้างความตึงเครียดในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวา
"กัมพูชาพยายามใช้ประชาชนและพลเรือนเป็นโล่มนุษย์เพื่อทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสวีเดนเข้าใจดีว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ" นายมาริษกล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติวิธีและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยมีมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีนเป็นผู้สังเกตการณ์ ส่วนการวางรั้วลวดหนามนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวที่ตั้งทางทหารและป้องกันการรุกล้ำเข้ามาวางทุ่นระเบิดซ้ำ ไม่ได้เป็นการกำหนดเส้นเขตแดนแต่อย่างใด
นายมาริษ เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ จะนำประเด็นการใช้โล่มนุษย์ โดยเฉพาะการใช้เด็กและสตรีเป็นแนวหน้า ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เข้าหารือกับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และรองข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อแสดงความห่วงกังวลและรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา นายมาริษระบุว่า การจะกลับสู่ภาวะปกติได้นั้น กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างชัดเจนก่อน
"แม้ขณะนี้จะไม่มีการกระทบกระทั่งกันทางทหาร แต่การยังมีการใช้พลเรือนเป็นโล่มากดดัน ทำให้เรายังไม่มีความเชื่อมั่น" ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่มีการส่งเอกอัครราชทูตไทยกลับไปประจำที่กัมพูชาจนกว่าจะมั่นใจในท่าทีของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ช่องทางการเจรจายังคงมีอยู่ โดยในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนหน้า จะมีการหยิบยกประเด็นการลดความตึงเครียดและการใช้พลเรือนขึ้นมาหารือ เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป
"ไทยกับกัมพูชาเปรียบเสมือนคนในครอบครัวที่ต้องอยู่ร่วมกัน แม้มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เป้าหมายของรัฐบาลคือการหาทางออกอย่างสันติวิธี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ" นายมาริษกล่าวทิ้งท้าย
กต. ประณาม "กัมพูชา" ใช้เด็ก-สตรี-คนชราเป็นโล่มนุษย์
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุมวลชนชาวกัมพูชารื้อลวดหนามที่บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้พลเรือน สตรี เด็ก และผู้สูงอายุ รื้อลวดหนาม ก่อความวุ่นวายในพื้นที่บ้านหนองจาน จังวัดสระแก้ว โดยยืนยันว่า บ้านหนองจาน ตั้งอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีการสู้รบในอดีต แต่หลังสงครามสิ้นสุดชาวกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิด MOU2543 ซึ่งไทยได้คัดค้านและประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยโดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉย และไม่ได้ตอบสนองใด ๆ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุว่า ฝ่ายไทยได้หยิบยกเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนร่วมกัน รวมถึงพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน เข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ตอบรับ พร้อมย้ำว่า การวางลวดหนามในเขตอธิปไตยของไทยและไม่ขัดต่อข้อตกลงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา โดยเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย และคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ไม่ให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการป้องกันการวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) มีคลิปวิดีโอยืนยันชัดเจนว่า ทหารกัมพูชาปล่อยให้ประชาชนชาวกัมพูชา ทำการรื้อลวดหนาม สร้างสถานการณ์ที่เป็นการยั่วยุอย่างต่อเนื่อง เช่น การตะโกนไล่ทหารไทย และแสดงท่าทีพร้อมก่อความรุนแรง มีภาพสตรีอุ้มทารกเข้าไปเผชิญหน้ากับทหารไทย ซึ่งทหารไทย ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงสุดต่อการยั่วยุดังกล่าว แต่ฝ่ายกัมพูชา ยังปล่อยให้ประชาชนของตนเอง เป็นผู้ออกหน้าแทน ทั้งที่ในทางกลับกัน ฝ่ายทหาร ควรจะอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องประชาชน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุว่า ประเทศไทยขอประณามฝ่ายกัมพูชา ที่ใช้ประชาชนโดยเฉพาะสตรี และเด็กบังหน้า เสมือนโล่มนุษย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ไม่สอดคล้องต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ฝ่ายไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชา ยุติการกระทำในลักษณะดังกล่าว รวมทั้งการจัดฉาก โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือด้วย และเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ กำลังมีหนังสือตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ และดำเนินกรอบในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังจะเดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันนี้ (26 ส.ค.) จนถึง 28 สิงหาคม โดยมีภารกิจสำคัญในการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการที่กัมพูชา ลอบวางระเบิดสังหารบุคคลในเขตอธิปไตยของไทย จนเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดหลายครั้ง ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง พร้อมยังจะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เพื่อย้ำว่า การดำเนินการทั้งหมดของไทย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และจะใช้โอกาสนี้ แสดงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นถึงการกระทำของกัมพูชา ที่ไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และขัดต่อหลักกติกาสากลอย่างสิ้นเชิง เป็นพฤติกรรมที่กระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเป้าหมายพลเรือน การนำเด็กมาใช้ในคลิปวิดีโอ การใช้ทุ่นระเบิด การใช้พื้นที่ชุมชนเป็นฐานที่มั่นทางการทหาร หรือการผลักดันเด็ก สตรี และผู้สูงอายุให้ออกมาเป็นหน้าด่าน รวมถึงพฤติกรรมล่าสุดในการยั่วยุเพื่อนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า ความปลอดภัยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องได้รับความคุ้มครองสูงสุด ประเทศไทย พร้อมให้ความร่วมมือกับกลไกทุกขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ และความจริงใจ และจะยังคงร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาออตตาวา และหลักการสากล โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยยังคงยึดมั่นการแก้ปัญหาบนสันติวิธีบน MOU2543 และกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ทั้ง GBC, RBC และ JBC กลไกต่าง ๆ ยังทำงานอย่างแข็งขันและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หวังจะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกับฝ่ายกัมพูชา อย่างไรก็ตามฝ่ายกัมพูชายังคงเผยแพร่ข่าวปลอมและบิดเบือนอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายความมั่นคง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังในการรับข้อมูลข่าวสารและติดตามข่าวสารที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากช่องทางทางการ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและป้องกันการเผยแพร่ข่าวบิดเบือนต่าง ๆ ในวงกว้าง
ส่วนนอกจากจะประท้วงทำหนังสือตอบโต้แล้ว จะสามารถยกระดับการตอบโต้ได้มากกว่านี้หรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่า สิ่งที่ทำได้คือการประณามในระดับทวิภาคี และให้สถานเอกอัครราชทูตในทุกประเทศตีแผ่ว่า มีการกระทำเช่นนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการนำเด็ก สตรี และคนชราที่ไม่มีทางสู้ ออกมาเป็นแนวหน้าและทหารไปอยู่ข้างหลัง ฝ่ายไทย ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด ไม่สามารถจะทำอะไรกับบุคคลเหล่านี้ได้แน่ ตามข้อตกลง และการเคารพสิทธิมนุษยชน กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่ไม่เคยมีการตอบโต้ประชาชน
ส่วนท่าทีของกัมพูชาสามารถนิยามเป็นการตีมึน รู้ว่าอะไรถูกผิด แต่เลือกไม่ทำได้หรือไม้นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า สามารถตีความได้ เพราะเมื่อไปดูวิดีโอ จะเห็นว่า ทหารอยู่ด้านหลัง และยุยงให้ประชาชน ออกไปเป็นแนวหน้า ตามด้วยวาจา ท่าทาง และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ถือว่าเป็นการยุยง