ผวา ‘การเมือง’ ซ้ำ ‘ภาษีทรัมป์’ รัฐบาลอ่อนแอพึ่งยาก-แนะยกเครื่องศก. ลดพึ่งพาจีน-สหรัฐ
บนเวทีเสวนา "Trump's Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย มีหลายประเทศที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นภาษีทรัมป์ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นระลอกถัดไปต่อเศรษฐกิจไทย
นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการและนักธุรกิจ ยกหลายประเด็นขึ้นมาและมองว่าการที่ไทยบรรลุภาษีทรัมป์ 19% ยังไม่ใช่จุดจบ เป็นเพียงยกแรก แต่ความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์หลังจากนี้จะมีอีกมากเหมือน “สึนามิ” ที่ไม่ได้มาระลอกเดียว แต่จะเห็นผลกระทบอีกหลายระลอก
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความท้าทายเศรษฐกิจไทยมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.นโยบายภาษีทรัมป์แม้ไทยได้อัตราภาษีจากทรัมป์ 19% แต่สถานการณ์นี้ยังไม่จบ “อย่าไปคิดว่า 19% จบแค่นี้” แต่เป็นจุดเริ่มต้น
เพราะความผันผวนจากนโยบายทรัมป์จะทำระยะข้างหน้าจะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกมากทำให้มีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายทรัมป์เพราะทรัมป์เปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา
สำหรับผลของการขึ้นภาษีของทรัมป์ส่งผลให้รายได้จากภาษีนำเข้าของสหรัฐสูงขึ้น โดยเดือนที่ผ่านมาสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และคาดว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐจะสูงขึ้นเป็น 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการคลังและการขาดดุลการค้าให้กับสหรัฐฯ ได้
“ภาษีที่ 19% วันนี้ยังไม่จบ และเป็นเพียงยกแรกเท่านั้น ดังนั้นเราไม่ควรตายใจ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะตามมาอีกเยอะ จากการทำนโยบายทรัมป์ โดยเฉพาะ นโยบายเกี่ยวกับ Non tariff barriers มาตรการกีดกันทางการค้าแต่ไม่ใช่ภาษี และเรื่องใหญ่คือเรื่อง Transshipment ที่ยังเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อประเทศไทย”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้ ยังมาจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่อาจพัฒนาความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นอาจลุกลามจากสงครามการค้า ไปสู่ สงครามเทคโนโลยี สงครามดิจิทัล สงครามการเงินได้ในระยะข้างหน้า ที่จะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทั่วโลก
- หวั่นการเมืองทุบซ้ำเศรษฐกิจไทย
และอีกประเด็นสำคัญคือ ปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองที่ปัจจุบันไร้เสถียรภาพ ที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ และส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาจากภายนอก
ดังนั้นปัญหาการเมืองไทยมีปัญหาและความไม่แน่นอนสูงมาก ที่ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
โดยมองปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศกลับเป็นตัวที่ซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงไปอีก จากเดิมที่เราอยู่ในภาวะที่ยากลำบากอยู่แล้วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะที่ยากลำบากเหมือนกำลังจะเข้าแก่งหรือกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประคับประคองสถานการณ์ แต่กลับกลายเป็นว่าสามีภรรยาตบตีกันในขณะที่ทุกคนควรจะช่วยกันพายเรืองัดพายเพื่อให้เรือของประเทศผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ และการที่สามีภรรยามาทะเลาะกันในสถานการณ์นี้ทำให้ความสามารถในการรับมือกับปัญหาภายนอกและประคับประคองสถานการณ์โดยรวมลดลงอย่างมาก”
ทั้งนี้ประเมินว่า ปัจจัยความท้าทายเหล่านี้คลี่คลายลงได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะการที่ศาลฯต้องตัดสินเกี่ยวกับคดีทางการเมืองต่างๆ ซึ่งหากยังมีความไม่ชัดเจน อาจทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะงักได้ ซึ่งอาจกระทบต่อการทำงบประมาณปี 2569 และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาในระยะข้างหน้าให้ยากลำบากมากขึ้น
และปัจจัยท้าทายของเศรษฐกิจไทยอีกด้านมาจาก นโยบายทรัมป์ แม้ปัจจุบันไทยจะมีความชัดเจนแล้ว จากที่ไทยได้ภาษีจากทรัมป์ 19% นับตั้งแต่ 30 ก.ค.เป็นต้นมา ถือเป็นการ “จัดระเบียบใหม่” ในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ จากการกำหนดอัตราภาษีกับหลายประเทศทั่วโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้น
- ไทยต้องหาโอกาสยกเครื่องประเทศ
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่เพียงนโยบายทรัมป์เท่านั้นที่กระทบทั่วโลกรวมถึงไทย
แต่รวมถึงอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ดังนั้นไทยควรใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน
รวมทั้งสิ่งที่ตามมาจากอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีอีกหลายด้านที่กระทบการค้าทั้งความเสี่ยงจากการจำกัดปริมาณการนำเข้า การกำหนดโควตาหรือจำกัดปริมาณสินค้าที่สามารถนำเข้ามาในประเทศได้ รวมถึงภาษีสรรพสามิต รวมถึงความไม่โปร่งใสและการใช้ดุลยพินิจของศุลกากร จากการที่สหรัฐหยิบยกขึ้นมาที่เป็นข้อกังวลและยังไม่ได้รับการแก้ไข
รวมถึงประเด็นการละเมิดสิทธิบัตรที่สหรัฐหยิบยกขึ้นมา คือ อุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และอุปสรรคในภาคบริการต่างๆ เช่น การที่บริษัทบริการทางการเงินของสหรัฐ ต้องการเข้ามาในตลาดไทยแต่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยยังมีอุปสรรคนี้อยู่มาก
- แนะไทยลดพึ่งพาจีน-สหรัฐมากเกินไป
ดังนั้น มองไทยควรใช้จังหวะนี้ในการเปลี่ยนโครงสร้าง สร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศไทย สร้าง New Thailand ให้เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้มองว่าไทยไม่ควรพึ่งจีนหรือสหรัฐเกินไป โดยไทยเลือกตำแหน่งแห่งที่ของตนเองได้
ทั้งนี้ ภาคเกษตรต้องเปลี่ยนทั้งระบบ เพราะประเทศไทยคงไม่สามารถร่ำรวยได้จากเกษตร ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือสร้างงานในพื้นที่ และพัฒนาแรงงานพร้อมกัน โดยใช้เครื่องมือแบบที่สิงคโปร์ใช้ เช่น โครงการ reskilling ในระดับชุมชน
"ขณะนี้ รัฐบาลอยู่ในช่วงนี้อ่อนแอมาก ความหวังของประเทศจึงอยู่ที่เอกชน ภาคประชาสังคมและภาควิชาการ เรายังมีคนเก่งในระบบราชการ แต่กลับใช้คนที่เอาใจนักการเมืองมากกว่า ดังนั้นเสนอให้สร้างกลไกใหม่แบบไม่ผูกติดกับรัฐ โดยให้ภาคอื่นร่วมกันกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้ แม้ในช่วงที่รัฐยังไม่เข้มแข็ง"
- แนะลดทุ่มเยียวยาระยะสั้น
นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ภาษีทรัมป์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการสร้างภูมิคุ้มกันมิติต่างๆ
โดยวิเคราะห์ เผยแพร่และส่งเสริมสินค้าไทยที่เป็นจุดแข็งและยังได้เปรียบคู่แข่งในตลาดสหรัฐ
นอกจากนี้ แทนที่จะทุ่มงบประมาณไปกับการเยียวยาระยะสั้นควรเปลี่ยนเป็นการมุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีทิศทางที่ตอบรับกับอนาคต และการมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ
เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีสายป่านสั้นหรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน
รวมถึงควรลดการพึ่งพาจีน
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ SMEs ไทย และอาจไม่รองรับโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ต้องเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับตลาดหลัก ซึ่งส่งเสริมใช้ประโยชน์จากข้อตกลง FTA ที่มีอยู่แล้วและส่งเสริมผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงให้เต็มที่ และพิจารณาการเข้าร่วมกลุ่มความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)
- หวั่นกระทบผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ไทยบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐแลกกับการที่ไทยจะเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น
อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลืองและกากข้าวโพด นั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลงชัดเจน
ทั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย ส่วนต่างราคาข้าวโพดอาจอยู่ที่ 1-2 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมค่าขนส่งแล้ว แต่เมื่อพิจารณาปริมาณการนำเข้าที่คาดว่าสูงถึง 3 ล้านตันสำหรับข้าวโพด และมูลค่ารวมของกากถั่วเหลือง 48,000 ล้านบาท ย่อมสร้างประโยชน์เศรษฐกิจมหาศาล
“ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ไทย โดยเฉพาะไก่แปรรูปที่ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกและมีมาตรฐานคุณภาพระดับเดียวกับยุโรป”
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐที่ต้องนำเข้าเนื้อหมูเป็นประเด็นที่กังวล แม้ยังไม่ทราบรายละเอียดและเบื้องต้นคาดว่าอยู่ที่ 1% ของปริมาณการบริโภคหมูทั้งหมด หรือ 10,000 ตัน
แต่ไทยมีนโยบายควบคุมและห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยหากอนุญาตนำเข้าเนื้อหมูที่อาจใช้สารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐจะยากมากในการควบคุมและอาจกระทบความปลอดภัยของผู้บริโภค
รวมถึงทำลายความพยายามตลอด 30 ปีที่ผ่านมา และยังกังวลว่าการอนุญาตให้นำเข้าอย่างเป็นระบบอาจเปิดช่องให้ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเพิ่มขึ้นอีก
“อุตสาหกรรมหมูไทยมีมูลค่า 150,000 ล้านบาท การนำเข้าหมูจากต่างประเทศจะกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรรายย่อยและเสถียรภาพอุตสาหกรรม แม้แต่ CPF ก็เลี้ยงหมูผ่านเกษตรกรคู่สัญญาถึง 95% ซึ่งการควบคุมมาตรฐานจะทำได้ยากขึ้นหากมีสารเร่งเนื้อแดงเข้ามา”