สิงหาชะตา ‘2 พ่อลูกชินวัตร’ !
ประเดิมส.ค.การเมืองเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สารพัดคดีร้อนที่ค้างคาอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ ทั้งคดีคลิปเสียงนายกฯ หลังวันที่ 4 ส.ค.ซึ่งครบกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญ อนุญาตให้“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา กรณีคลิปเสียงสนทนากับ“ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังสิ้นสุดการขยายเวลา ครั้งที่ 2
ตามไทม์ไลน์ หลังฝั่งนายกฯ ชี้แจงข้อกล่าวหาเรียบร้อย ศาลรัฐธรรมนูญต้องส่งคำแก้ข้อกล่าวหาให้ฝั่ง “36 สว.” ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้อง เพื่อยื่นข้อหักล้างภายใน 15 วัน
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะต้องส่งคำหักล้างให้ “แพทองธาร” ซึ่งยังมีสิทธิยื่นแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมได้อีกครั้ง หลังจากนั้น ศาลฯจะต้องทอดเวลาก่อนลงมติ 15 วัน ก่อนจะมีคำวินิจฉัยต่อไป
เบ็ดเสร็จกระบวนการเหล่านี้ คาดว่าน่าจะ“ชี้ชะตา”นายกฯ ออกมาไม่เกิน ก.ย.นี้
จับอาการ“ทีมกุนซือนายกฯ” ที่ยังแอบหวังว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นบวก
โดยหยิบยกข้อโต้แย้งที่ว่า “นายกฯอิ๊งค์” มีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งด้วยรูปแบบต่างๆ อย่างสันติวิธี และในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล ก็มีการปรึกษาหารือกับกองทัพ และหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการต่างประเทศ ดำเนินการอย่างเข้มงวด
อีกทั้งคนที่นายกฯ โทรหา ไม่ใช่ตัวแทนรัฐบาล แต่นายกฯ หาวิธีเพื่อให้ข้อขัดแย้งยุติได้ ด้วยสันติวิธี
ทว่าในมิติการเมืองแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่นนี้ต้องจับตาภายใต้นิติสงครามของ“แพทองธาร” ในเวลานี้ ส่งผลให้ชะตากรรมของ “นายน้อยเพื่อไทย” กำลังดำเนินอยู่บน“ทางสามแพร่ง”
สอดคล้องกับที่ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ “55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย” เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2568 พูดถึง3ฉากทัศน์การเมืองที่เชื่อมั่นว่าจะไม่ถึงทางตัน
ทางแรก หากผลออกมา“เป็นบวก” คือ “นายกฯแพทองธาร”ไม่สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลภายใต้สมการ 260 เสียงก็จะเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้ ท่ามกลางสารพัดโจทย์ใหญ่ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศ
ทางที่สอง หากผล“เป็นลบ” คือ ศาลวินิจฉัยให้“แพทองธาร”สิ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี การเมืองก็จะเข้าสู่“จุดพลิก”การเมืองอีกครั้ง ผลที่จะตามมา คือ กระบวนการเลือกนายกฯคนใหม่
โดยขณะนี้มีรายชื่อที่อยู่ในบัญชีพรรคการเมือง ประกอบด้วย ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
ทางที่สาม การประกาศ“ยุบสภา” ซึ่งตามฉากทัศน์นี้ รัฐบาลจะสามารถรักษาการไปได้อีกอย่างน้อย 60 วันตามกฎหมาย
เห็นชัดจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีการถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงอำนาจรักษาการนายกฯในการประกาศยุบสภาย่อมเป็นการตอกย้ำว่าชอยส์ยุบสภาก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มองข้ามไม่ได้
เหนือไปกว่านั้นต้องจับตา เมื่อเกม"นายใหญ่" ที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมให้อำนาจเปลี่ยนมือได้โดยง่าย เช่นนี้ต้องลุ้นว่าหากผลออกมาเป็นลบจะเลือกโยนไพ่ลับใบใดออกมา
ขณะที่จังหวะการวางเกมของ “กุนซือเพื่อไทย” โดยเฉพาะ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริเดชย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่จออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่านายกฯจะลาออกก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยยืนยันว่า"ไม่เป็นความจริง"
ย่อมเป็นการตอกย้ำว่า ชอยส์ที่จะให้นายกฯ “ชิงลาออก” เหมือนกรณี "พิชิต ชื่นบาน" อดีตรมต.สำนักนายกฯ ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะตีตกคำร้องด้วยเหตุผลที่ว่า"ไม่มีเหตุให้พิจารณา เพราะไม่มีรัฐมนตรีชื่อพิชิตอีก" เอาเข้าจริงอาจไม่ใช่คำตอบสุุดท้าย
อย่าลืมว่า กรณีของ “นายกฯอิ๊งค์” มีความต่างกับกรณีของ “พิชิต” ตรงที่ ยังมีคำร้องในส่วนที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำลังเดินหน้าอยู่ในเวลานี้
ฉะนั้นต่อให้นายกฯจะชิงลาออกก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นบ่วงในคดี "คลิปเสียงอังเคิล" เพราะยังมีคำร้องในส่วนของป.ป.ช.ที่ไม่ได้สะดุดหยุดลงตามไปด้วย
ยิ่งในสภาวะที่รัฐบาลกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ส่อแววยืดเยื้อด้วยแล้ว กลับยิ่งไม่ส่งผลดีกับรัฐบาล ที่มีเพียง“ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็นรักษาการนายกฯ มากเท่าใดนัก มิหนำซ้ำจะกลับกลายเป็นสภาวะสุญญากาศรัฐบาลมากไปกว่าเดิม
อีกหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ต้องจับตาคือ คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่ง“ทักษิณ” ตกเป็นจำเลย กรณีให้สัมภาษณ์สื่อทีวีต่างประเทศ ประเทศเกาหลีใต้ ในลักษณะพาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เมื่อปี 2558 โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 22 ส.ค.
ไหนจะคดีการบังคับโทษ คดีถึงที่สุดของ“ทักษิณ” ในการส่งตัวรักษาที่ชั้น14 รพ.ตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาจะไต่สวนพยานนัดสุดท้ายวันที่ 30 ก.ค. คาดว่าจะมีคำพิพากษาในช่วงกลางเดือน ส.ค.ถึงปลายเดือนเช่นกัน
แน่นอนว่า ภายใต้ศึกนอกที่กำลังรุกไล่ ไม่ต่างจากศึกในที่กำลังตีประชิดรัฐบาล รวมถึง “2 พ่อลูกชินวัตร” ในเวลานี้ ทั้งหมดทั้งมวล ต้องจับตาเดือน ส.ค.นี้ ที่จะเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ