ปชน. ถกอีกครั้ง 2 ก.ย. “พริษฐ์” กังวลแดง-น้ำเงินจับขั้ว ไม่ลืมอดีตแต่ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาพไฮไลต์

“พริษฐ์” เผย พรรคประชาชนยังไม่สรุปโหวตหนุนใครเป็นนายกฯ คนที่ 32 ประชุม สส.อีกครั้ง 2 ก.ย. จี้ “ภูมิธรรม” ยุบสภา กังวลแดง-น้ำเงินกลับมาจับขั้วอยู่ต่อ ลั่นไม่ลืมอดีตแต่ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน

เมื่อเวลา 17.25 น. วันที่ 1 กันยายน 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคประชาชน แถลงผลการประชุมกรรมการบริหารพรรค และ สส. ในการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า การประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว วันนี้มี สส. มาเข้าร่วมประชุม 90 กว่าคน หรือ 60% ซึ่งหลายคนติดภารกิจที่นัดไว้ล่วงหน้าของคณะกรรมาธิการหรือในพื้นที่ โดยปกติพรรคจะประชุมในวันอังคาร แต่วันนี้เป็นนัดพิเศษ

นายพริษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ความเห็นในที่ประชุมมีความเห็นที่หลากหลาย หลายคนแสดงความคิดเห็นด้วยความหนักใจไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง จึงมีข้อสรุปวันนี้ว่าจะมีการประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ (2 กันยายน 2568) เพื่อให้ สส. ที่มาในวันนี้ได้ตกผลึกและแสดงความเห็นเพิ่มเติม ประกอบกับให้ สส. ที่มาในวันนี้ไม่ได้มาแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ และจะนำความเห็นของ สส. มาประกอบความเห็นจากภาคส่วนอื่นของพรรค ทั้งทีมเครือข่ายและพนักงานมาพิจารณาร่วมกัน

“ผมคิดว่า 2 ประเด็นที่มีการพูดคุยกันค่อนข้างชัดเจน 1. ค่อนข้างชัดเจนมาก ยืนยันจุดเดิมเดิมสิ่งที่ตอบโจทย์ประเทศ คือการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว เราเป็นฝ่ายที่เรียกร้องการยุบสภามาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่มีคลิปเสียงของคุณแพทองธาร (ชินวัตร) กับฮุน เซน หลุดออกมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้ผู้มีอำนาจไม่ได้ตอบสนองข้อเสนอดังกล่าว วันนี้ยังคงยืนยันว่าการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ประเทศ ดังนั้นหากสมมติว่ารักษาการนายกฯ ที่มีอำนาจในการยุบสภาในวันนี้ จะยื่นเพื่อดำเนินการยุบสภา จะสอดคล้องกับจุดยืนของเราก็ยินดี และพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง”

แต่หากรักษาการนายกรัฐมนตรีไม่ยุบสภา และไม่มีพรรคการเมืองใดรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง พรรคประชาชนจะใช้กระบวนการในการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อนำไปสู่การยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว เข้าใจดีว่าหลายคนหนักใจไม่ว่าจะเป็น สส. หรือประชาชน หากยังไม่มีใครยุบสภาก่อนและต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ บางคนมองว่าจำเป็นหรือไม่ หากไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยการงดออกเสียง

ต้องป้องกันแดง-น้ำเงินกลับไปรวมกันเพื่ออยู่ต่อ

แต่พยายามคิดอีกมุมหนึ่ง หากยังไม่มีการยุบสภาและจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ณ เวลานี้ไม่มีกลุ่มใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้นต้องคิดต่อว่าพรรคประชาชนงดออกเสียง อยู่เฉยๆ จะเกิดอะไรขึ้น จึงมองไปถึงความน่ากังวล 2 ประการ คือ 1. ปัจจุบันทั้งแดงและน้ำเงินไม่สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง แล้วแดงกับน้ำเงินจะไหลไปรวมกัน ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากมีแนวโน้มที่จะอยู่ครบวาระไปอีกเกือบ 2 ปี ที่ขัดกับจุดยืนในการต้องการเห็นการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยหยิบยกสถานการณ์การเมืองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า ไม่มีนโยบายใดที่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นว่าในช่วงที่แดงกับน้ำเงินเป็นรัฐบาล คดีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือการต่อรองทางการเมือง

“สิ่งที่เราต้องการป้องกัน คือสถานการณ์ที่แดงกับน้ำเงินนั้นจะกลับไปรวมกัน จะทำให้ประเทศเสียหาย ทั้งการเลือกตั้งใหม่ที่ออกไป 2 ปี และการมีนโยบายที่ไม่มีประสิทธิภาพ และกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้ถูกดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา”

ส่วนความเป็นไปได้ในข้อที่ 2 หากสมมติแดงกับน้ำเงินไม่ไหลกลับไปรวมกัน ก็มีความเสี่ยงจะไหลไปถึงนายกรัฐมนตรีที่มาจากนอกระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ส่งผลดีต่อระบบการเมืองไทย จึงมีความหนักใจ และเข้าใจดีถึงความรู้สึกหลายคนหากอยู่เฉยๆ แต่ก็ยืนยันว่าหากรักษาการนายกรัฐมนตรีไม่ยุบสภา และฝ่ายใดรวบรวมเสียงข้างมากไม่ได้เกินกึ่งหนึ่ง หากไม่ทำอะไร และยังไม่สามารถจะสรุปได้ว่าในวันพรุ่งนี้จะได้คำตอบชัดเจน

โฆษกพรรคประชาชน กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ในที่ประชุมอภิปรายหลากหลายประเด็น และในวันพรุ่งนี้การประชุมจะมี สส.เพิ่มขึ้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจนว่าสภาผู้แทนราษฎรจะนัดโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าความเห็นในที่ประชุมพรรคมีความแตกต่างหลากหลาย พร้อมเชิญชวนตัวแทนเครือข่ายพรรคแสดงความเห็นได้ โดยพรรคประชาชนไม่ได้ไปพูดคุยเพิ่มเติมกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคภูมิใจไทย หลังจากที่ 2 พรรคได้ตอบรับเงื่อนไขของพรรคแล้ว ก่อนจะโยนให้ไปถามพรรคภูมิใจไทย หลังให้ข่าวในทำนองว่าจะลงนาม Agreement (ข้อตกลง) กับพรรคประชาชนแล้ว

ทั้งนี้ ไม่มีพรรคไหนจะจัดตั้งรัฐบาลและมีเสียงเกิน 280 เพราะพรรคประชาชนจะไม่ร่วมรัฐบาล และตัวเลข สส. ของพรรคประชาชนจะไม่ถูกรวมอยู่ในฝั่งรัฐบาลใด ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะอ้างตัวเลข 280 เกินกึ่งหนึ่งไม่ใช่เป็นผลลัพธ์จากเงื่อนไขของพรรคประชาชนอย่างแน่นอน

ย้ำเงื่อนไขพรรคประชาชนมีแค่ 3 ข้อ

ส่วนข้อเสนอพรรคเพื่อไทยที่ชูว่าจะยุบสภาได้ไวกว่า 4 เดือนหรือใช้เวลา 2-3 เดือนนั้น นายพริษฐ์ ยืนยันว่าเงื่อนไขของพรรคประชาชนมีความชัด 3 ข้อ เหตุผลที่ต้องวางกรอบไว้ 4 เดือน เพราะจะต้องติดตามดูว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 กันยายน 2568 จะวินิจฉัยว่าทำประชามติกี่ครั้ง หากวินิจฉัยประชามติ 3 ครั้ง ก็จะมีการทำประชามติครั้งแรกทันที ซึ่งไม่ต้องใช้เวลาถึง 4 เดือน หากวินิจฉัยว่าทำประชามติ 2 ครั้ง นั่นหมายความว่าครั้งแรกจะไม่ใช่การทำประชามติ แต่จะต้องผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน จึงมองว่ากรอบเวลา 4 เดือน เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านไปได้ หากพูดถึงพรรคเพื่อไทยโดยตรงไม่ต้อง 4 เดือน หากรักษาการนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยจะยุบสภาก็ดำเนินการได้เลย

ส่วนการทำประชามติพ่วงเรื่องเกี่ยวกับการยกเลิก MOU 2543 - MOU 2544 พรรคประชาชนไม่ได้พิจารณาอะไรนอกเหนือจาก 3 เงื่อนไข ซึ่งเป็นจุดยืนของแต่ละพรรคที่ได้แสดงออกมา แต่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาที่มาพูดคุยกับประชาชน ย้ำว่าในการเจรจายึด 3 เงื่อนไขของพรรคประชาชน

ลั่นไม่ไว้ใจทั้งคู่ ไม่ลืมอดีตแต่ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน

เมื่อถามว่าประเมินความจริงใจพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยในการตอบรับ นายพริษฐ์ ระบุว่า ความจริงใจเป็นสิ่งที่ สส. และประชาชนหลายคนใช้ในการประเมิน และหลายคนมองว่าพรรคประชาชนจะทำให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะเข้าไปรักษาสัญญากับพรรคประชาชนได้อย่างไรโดยมี 2 ปัจจัย 1. ออกแบบกลไกให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยรักษาสัญญา การทำให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยในฐานะแกนนำฝ่ายค้านสามารถใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจล้มรัฐบาลที่เบี้ยว 2.ประเมินเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ

“ไม่ไว้ใจทั้งคู่ แต่ว่าก็ต้องประเมินความเสี่ยงว่าจากสาระและท่าทีที่ได้เห็นที่วัดด้วยหลักฐานอันไหนมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ยืนยันตัดสินใจด้วยเหตุและผล ไม่ได้เอาความแค้นเอาอารมณ์ตัดสิน แน่นอนบางคนอาจจะรู้สึกเกี่ยวกับกรณีที่พรรคเพื่อไทยฉีก MOU ไปตั้งรัฐบาล และหลายคนอาจจะรู้สึกตอนที่พรรคภูมิใจไทยอภิปรายเกี่ยวกับพรรคเราตอนโหวตคุณพิธาเป็นนายกฯ เราไม่ได้เอาความรู้สึกเป็นตัวตั้ง เราพยายามใช้เหตุและผลให้มากที่สุดเพื่อทำให้ประเทศนี้มีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว”

นายพริษฐ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลในพรรคประชาชนถูกกระทำมาไม่เคยลืมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้นำอารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน โดยมองว่าจะต้องมีการพูดคุยกันในพรรคให้ตกผลึก ในขณะนี้ยังไม่สามารถตอบข้อสรุปแทนพรรคได้ และสื่อสารกับประชาชนว่า พรรคประชาชนตระหนักดีมาอยู่จุดนี้ได้เพราะใคร เพราะประชาชน 14 ล้านคน ดังนั้น ให้สัญญาว่าจะไม่นำความไว้วางใจตรงนั้นไปทำอะไรที่ขัดหลักการ หรือผิดคำพูด หรือไม่ได้ทำประโยชน์สูงสุดของประเทศ.

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปชน. ถกอีกครั้ง 2 ก.ย. “พริษฐ์” กังวลแดง-น้ำเงินจับขั้ว ไม่ลืมอดีตแต่ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน