สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ไทย-กัมพูชาต้องการฮุบ'แร่ธาตุหายาก' (Rare-earth) ที่ชายแดนไว้ต่อรองกับสหรัฐฯ
สื่อต่างประเทศในภาษาจีนจำนวนหนึ่งชี้ว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ใช่แค่เรื่องเส้นพรมแดนหรือปราสาทเก่าๆ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ 'แร่ธาตุหายาก' (Rare-earth) ที่มีอยู่มากมายในบริเวณจังหวัดพระวิหาร ของกัมพูชา
เช่นสื่อรายหนึ่งชี้ว่า "อาจกล่าวได้ว่าปัญหาในครั้งนี้มีความซับซ้อนมากกว่าครั้งก่อน เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กิจการภายในประเทศและต่างประเทศ และเกมภูมิรัฐศาสตร์ ทำไมน่ะหรือ? ประการแรกคือการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ"
สื่อรายนี้อ้างรายงานการสำรวจทางธรณีวิทยาปี พ.ศ. 2567 ที่กัมพูชาจัดทำขึ้น "ระบุว่าพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหารไม่ใช่พื้นที่ที่ยากจนและแห้งแล้งแต่อย่างใด เพราะเบื้องล่างมีแร่หายากชนิดหนัก เช่น ดิสโพรเซียมและเซอร์โคเนียม มูลค่ากว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (การประเมินมูลค่านี้ค่อนข้างเกินจริงไปเล็กน้อย เนื่องจากรายงานการสำรวจของไทยประเมินไว้ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)"
(สื่อภาษาจีนอีกแหล่งหนึ่งอ้างว่า จากการสำรวจทางธรณีวิทยาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารมีแหล่งแร่หายากคุณภาพสูงอย่างน่าอัศจรรย์ ในพื้นที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร มีปริมาณแร่หายากมากกว่า 100,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงานยังระบุด้วยว่าปริมาณธาตุหายากในพื้นที่สูงถึง 8.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 2% อย่างมาก พื้นที่นี้อุดมไปด้วยธาตุหายากหนักเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ดิสโพรเซียมและเซอร์โคเนียม"
ทั้งนี้ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ "และระบบนำวิถีขีปนาวุธ และเป็นเส้นทางชีวิตทางยุทธศาสตร์ที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน"
ดังนั้น "พวกอเมริกันถึงกับทำเครื่องหมายสถานที่แห่งนี้เป็นสีแดงบนแผนที่ และเขียนรายงานพิเศษอ้างว่าเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญทางเลือก ด้วยเหตุนี้ ทุนตะวันตกจึงรีบรุดเข้ามาเมื่อได้กลิ่น ซึ่งรวมถึง Toyota และกลุ่ม UMS ของกัมพูชาที่ลงนามในสิทธิการทำเหมืองแต่เพียงผู้เดียว และ BASF ของเยอรมนีที่แอบติดต่อกับกลุ่มบริษัท XXX ของไทย" สื่อดังกล่าวระบุ
และชี้ว่า "กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใครก็ตามที่ควบคุมพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างไทยและกัมพูชา จะมีสิทธิ์ในการพัฒนาแร่ธาตุสำคัญเหล่านี้"
บทความนี้ได้วิเคราะห์ปัจจุบัน แร่ธาตุหายากชนิดหนักเป็นแร่ธาตุที่ร้อนแรงที่สุดในโลก จีนได้บีบคั้นตะวันตกด้วยการอาศัยความได้เปรียบในการผูกขาดในการทำเหมืองและแปรรูปแร่ธาตุหายาก
"ไม่ว่าจะเป็นไทยหรือกัมพูชา ใครก็ตามที่ควบคุมแร่ธาตุหายากในพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหารจะมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐอเมริกา" บทความระบุ และเสริมว่าการการใช้สิ่งนี้ต่อรองจะมีน้ำหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเพื่อโจมตีประเทศต่างๆ "แร่ธาตุหายากจึงเป็นเครื่องมือต่อรองที่สำคัญเกินกว่าที่ไทยและกัมพูชาจะมองข้ามไปได้"
(สื่ออีกแห่งหนึ่งวิเคราะห์ว่า "นับตั้งแต่ทรัมป์เปิดฉากสงครามภาษี จีนและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมกันใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าและมาตรการตอบโต้การคว่ำบาตรอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อวันที่ 4 เมษายน ปีนี้ กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนได้ประกาศร่วมกันควบคุมการส่งออกธาตุหายากระดับกลางและหนัก 7 ประเภท ได้แก่ ซาแมเรียม แกโดลิเนียม อะลูมิเนียม ดิสโพรเซียม ลูทีเทียม สแกนเดียม และอิตเทรียม นโยบายนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างรวดเร็วตลอดห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ราคาโลหะหายากต่างๆ พุ่งสูงขึ้นถึง 210% ทำให้โลหะหายากมีมูลค่ามากกว่าทองคำ ด้วยเหตุนี้ แร่หายาก 100,000 ตันจากปราสาทพระวิหารจึงกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของไทยและกัมพูชา"
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ สื่อดังกล่าวจึงชี้ว่า "เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการต่อรองนี้ ไทยและกัมพูชาจึงต่อสู้กัน"
และตั้งคำถามว่า "วันที่ 28 พฤษภาคม ปีนี้ เกิดเหตุยิงปืนนัดแรกที่ไหน?" คำตอบไม่ชัดนักแต่ก็มีคำบอกใบ้อยู่ที่ กัมพูชาเพิ่งประกาศการค้นพบแร่ธาตุหายากในสามเหลี่ยมมรกต
สื่อนี้ได้ตั้งคำถามว่า "เนื่องจากมีการค้นพบว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารมีทรัพยากรแร่ธาตุหายากมหาศาลและเกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาทที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์ เหตุใดทั้งสองฝ่ายจึงไม่สร้างสันติภาพและร่วมมือกันพัฒนา?"
คำตอบก็คือคือรัฐบาลทั้งสองได้แตกแยกกันอย่างสิ้นเชิงแล้วจากกรณีฮุน เซน เปิเผยคึลิปเสียงของแพทองธาร ชินวัตร โดยที่ต้นเหตุมาจากการที่ฝ่ายไทยทำการกวาดล้างธุรกิจสแกมเมอร์หนักขึ้น อันเป็นแหล่งเงินแหล่งทองของ ฮุน เซน
รายงานโดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo -เจ้าหน้าที่กึ่งทหารกัมพูชายืนเฝ้าปราสาทพระวิหาร ใกล้ชายแดนไทย ในจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางเหนือประมาณ 543 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนหน้าผาในช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งกัมพูชา ตั้งอยู่บนพื้นที่อันตระการตา (ภาพโดย TANG CHHIN SOTHY / AFP)