ฉันสอนลูกให้โอบรับความมืดของตัวเอง ‘มอร์ทิเชีย แอดดัมส์’ มารดาแห่งตระกูลประหลาด
บ้านสไตล์กอทิกดูโบร่ำโบราณ ตอกเสาแบบวิกตอเรียน ปล่องไฟสูงลิ่ว ผนังเต็มไปด้วยเถาวัลย์เลี้ยวลด ไหนจะโครงกระดูก ไม้กายสิทธิ์ของแม่มด ของเล่นที่ดูเหมือนมีชีวิต และภาพวาดหลอนที่คอยไล่สายตามองผู้เดินผ่าน
บรรยากาศหลอนอย่างกับหนังสยองขวัญยุคเก่า! บ้านหลังนี้มีทารกน้อยในเปลดำ เมื่อลืมตาดูโลก เธอไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่กลับจ้องเขม็งฟ้าหม่นนอกหน้าต่าง เหมือนโมโหที่ต้องเกิดเป็นมนุษย์
เด็กหญิง‘เวนส์เดย์’ กลับตาลปัตรจากเด็กหญิงอื่น ไม่หัวเราะท่ามกลางแสงแดด อยู่ในความเงียบงันของคืนมืดมิด เสื้อผ้าทั้งตู้เต็มไปด้วยสีดำ วันที่ย่างเท้าเข้าโรงเรียนเนเวอร์มอร์ สถานแห่งผู้เป็นเอาต์แคสต์ หรือคนประหลาดตามรอยแม่
เธอสนใจความตาย ความมืด สิ่งเหนือธรรมชาติ มีญาณวิเศษเห็นนิมิตลางร้าย คงเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้ผูกใจกับเรื่องฆาตกรรมเป็นพิเศษ เวนส์เดย์อยู่ในจำพวกเอาต์แคสต์แบบเรเวน ทว่าเธอไม่เชื่อเรื่องสวรรค์หรือนรก แต่เชื่อในการแก้แค้น ก็แล้วทำไมต้องรอให้บาปกรรมตามทันคนกระทำผิด เชือดเองสิ! เลือกวิธีได้ เลือกความลึกของบาดแผลได้อีกด้วย แต่เด็กวัยเรียนที่ไหนเล่าจะมีความคิดอุกอาจแบบนี้ และนั่นทำให้เธออดตั้งคำถามกับผู้เป็นแม่ไม่ได้เลย
“แม่ หนูเป็นเด็กประหลาดหรือเปล่า”
“แม่ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นนะ ลูกรัก มันทำให้ชีวิตงี่เง่านี่น่าสนใจ”
เพราะการบ่มเพาะจาก ‘มอร์ทิเชีย แอดดัมส์’ หญิงสาวผู้มีผิวขาวซีดเหมือนดอกลิลลี่ยามเที่ยงคืน เส้นผมยาวดำขลับสะท้อนเงาเมื่อต้องแสงจันทร์ ริมฝีปากแดงราวหยดเลือด เธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอคือหัวใจของบ้านแอดดัมส์
แน่นอนว่ามอร์ทิเชียถ่ายทอดดีเอ็นเอข้นคลั่กสู่เวนส์เดย์ เธอเป็นแม่ที่ประหลาดพอๆ กับลูกสาว คำพูดเยือกเย็นอย่างกับจะแช่แข็งโลกทั้งใบ แต่เธอแค่อยากให้ลูกรู้ว่าโลกนั้นโหดร้าย เราจึงควรโหดร้ายให้มากกว่า
เธอไม่เคยห้ามให้เวนส์เดย์เล่นสนุกในแบบของตัวเอง ต่อให้จะเป็นการเลี้ยงแมงมุมในกล่องอาหารกลางวัน หรือเล่นเครื่องทรมานกับ‘พักสลีย์’ ผู้เป็นน้องชาย บางทีเวนส์เดย์ก็ขู่ว่าจะเปลี่ยนให้เขาเป็นซอมบีน่ะ
“พวกเขายัดหัวพักสลีย์เข้าชักโครก! นั่นมันหน้าที่ของฉันต่างหาก!” ถึงเวนส์เดย์จะชอบยียวนน้องชายของตัวเอง ถึงจะทำเหมือนว่าไม่แคร์ แต่เมื่อพักส์ลีย์ถูกกลั่นแกล้ง เช้าวันถัดไปจะมีใครบางคนหายไปจากโรงเรียนเสมอ และเมื่อไหร่ที่น้องชายของเธอร้องไห้ เธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่หัวเราะเยาะเขา
“ถ้านายร้องไห้ ก็อย่าร้องให้ใครเห็น นอกจากฉัน” ในสายตาของพักส์ลีย์ เวนส์เดย์คือพี่สาวผู้กล้าหาญและชาญฉลาดที่เป็นแบบอย่างเลยก็ว่าได้ เขารู้ว่าต่อให้จะอ่อนแอจนลุกไม่ขึ้น ถูกโลกหันหลังให้ แต่เวนส์เดย์จะคอยยืนเคียงข้างพร้อมมีดในมือเสมอ นี่อาจเป็นเพราะความเข้มแข็งที่มอร์ทิเชียมี ส่งมาถึงตัวลูกสาวที่เป็นพี่คนโตเข้าอย่างจัง
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในตระกูลแอดดัมส์จะแข็งแกร่งดี แม้ใครต่อใครจะมองว่าพวกเขาแปลกแยก แต่หากนี่เป็นฝูงแกะดำก็คงจะเป็นฝูงที่สง่างามที่สุด
บ่อยครั้งเราจะเห็นมุมที่เวนส์เดย์ขัดแย้งกับมอร์ทิเชีย มารดาผู้สอนเธอผ่านการกระทำและคำพูดเย็นชา เพราะเวนส์เดย์ไม่อยากเป็นเหมือนแม่ เธอไม่อยากเดินตามรอยใครทั้งนั้น และท้ายที่สุดก็ค้นพบว่าแม่ไม่ได้อยากให้เธอเป็นเหมือนใคร แม่อยากให้เธอเป็นเวนส์เดย์
มอร์ทิเชียมีวิธีเลี้ยงลูกในฉบับที่ต่างออกไปจากแม่ที่เราคุ้นเคย เธอไม่ใช่คนอบอุ่น คอยหอมหัว หรือตีซ้ำเมื่อลูกเดินสะดุดล้มเป็นครั้งที่สิบ ปล่อยให้พวกเขาทำตามสัญชาตญาณและวิจารณญาณของตัวเอง เป็นคนที่อยากจะเป็น ทั้งไม่เคยปฏิเสธความแปลกประหลาดใด กระทั่งคำว่ารักก็ไม่พูดออกมาให้ได้ยินจนกว่าลูกจะต้องการ แต่เธออยู่ตรงนั้นเสมอทุกครั้งที่ลูกต้องการ
และนี่คือการรับมือกับโลกร้ายฉบับเวนส์เดย์
“วันนี้ช่างเป็นวันที่บรรลัยได้ใจฉันจริงๆ” เห็นได้ชัดเลยล่ะว่าเธอยังเล่นตลกได้ ต่อให้ไมเกรนแทบขึ้นหัว
หรือความจริงจากปากเด็กสาวชุดดำที่ส่ายหน้าปฏิเสธไม่ได้ “เรายิ้ม โลกก็ยิ้มด้วย แต่เมื่อเราร้องไห้ เราจะร้องไห้คนเดียว”
“โซเชียลมีเดียคือสุญญากาศดูดวิญญาณ เต็มไปด้วยคำชมหาเหตุผลไม่ได้” ทำให้เวนส์เดย์ไม่พกมือถือ
ก็ใช่ว่าทุกคำสอนของมอร์ทิเชียควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างหรอก มันอาจใช้ไม่ได้ในชีวิตจริงไปเสียทั้งหมด แต่การที่เธอไม่เฝ้าเลี้ยงลูกให้เป็นคนในอุดมคติของสังคม ไม่บีบบังคับว่าต้องน่ารักในสายตาทุกคนกระทั่งคนใจร้าย รักทั้งด้านมืดและด้านสว่างของตัวเอง เหล่านี้ช่างน่าเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ
“อย่าหวาดกลัวไปเลย สีดำเป็นสีแห่งความสุขไม่แพ้สีอื่น เมื่อลูกรู้วิธีค้นความสนุกในมัน ชีวิตไม่ได้มีแต่ความสวยงามเหมือนดอกกุหลาบที่ไม่มีหนาม หรือเสียงนกร้องเพลงเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ยังมีหนามแหลม และแร้งที่ร้องเศร้าโศกประสานกัน ลูกรู้ใช่ไหม”
ตระกูลแอดดัมส์เกิดจากจินตนาการของ ‘ชาร์ลส์ แอดดัมส์’ นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกันแห่งนิตยสาร The New Yorker ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความมืดมน ผสมความขำขันที่ตลกร้ายเสียดสีสังคม ถือเป็นผู้สร้างโลกแฟนตาซีหลอนแต่อบอุ่นได้อย่างลงตัวเหลือเกินคราวนั้น ตัวละครในครอบครัวแอดดัมส์ยังไม่มีชื่อเลยเสียด้วยซ้ำ พวกเขาเป็นเพียงครอบครัวประหลาดที่อยู่ในภาพวาด จนเมื่อปี 1964 ซีรีส์ทีวีขาวดำ ‘The Addams Family’ ก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับชื่อ ‘มอร์ทิเชีย’ จากรากศัพท์ในภาษาละตินที่หมายความถึงความตาย เธอคือหญิงผู้มีความตายเป็นเสน่ห์ วงเล็บว่าและมีชีวิตโรแมนติกได้เพราะครอบครัว