รู้จัก Amy Sherald ศิลปินผู้ปฏิวัติวงการศิลปะ กับการนำเสนอเรื่องราวของคนดำผ่านภาพพอร์เทรต
ถ้าให้ลองนึกถึงศิลปิน หรืองานศิลปะที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนดำในแต่ละยุคสมัย เชื่อว่าใครที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้วงการศิลปะก็คงนึกชื่อกันแทบไม่ออก ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่มีอยู่ในวงการศิลปะ หากแต่การกีดกันและแบ่งแยกผู้คนในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาต่างหาก ที่ทำให้เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาอย่างที่ควรจะเป็น
เอมี่ เชอรัลด์ (Amy Sherald) หนึ่งในศิลปินคนดำชาวอเมริกัน ผู้กล้าหยิบเรื่องราวของคนดำมาสร้างสรรค์บนผืนผ้าใบ ด้วยการนำเสนอมุมมองเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมแอฟริกันอเมริกันและการนำเสนอเรือนร่างของชาวแอฟริกันอเมริกัน ด้วยการใช้โทนสีเทาในการวาดสีผิวเพื่อท้าทายแนวคิดเรื่องสีผิวในฐานะเชื้อชาติ
นอกจากเรื่องราวของคนดำแล้ว เธอยังมีจุดยืนต่อความหลากหลายในทุกรูปแบบ เพราะเมื่อไม่นานที่ผ่านมา เพิ่งมีเรื่องราวดรามาจากแวดวงศิลปะฝั่งอเมริกา เนื่องจากเอมี่ เชอรัลด์ ตัดสินใจถอดนิทรรศการของเธอออกจากหอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติสมิธโซเนียน โดยเหตุผลที่ทางพิพิธภัณฑ์ร้องขอให้ถอด Trans Forming Liberty หนึ่งในภาพวาดของเธอ ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ด้วยเหตุนี้เอง การตัดสินใจถอนตัวของเชอรัลด์จึงเป็นเหมือนการสร้างแรงกระเพื่อมจากวงการศิลปะสู่สถานการณ์เรื่องความหลากหลายภายใต้ยุคสมัยของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอเมริกา
นี่จึงอาจเป็นเวลาอันเหมาะควรที่เราจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับศิลปินผู้กล้าหาญคนนี้กันมากขึ้น ว่ากว่าที่เธอจะก้าวมาสู่จุดนี้ได้ เรื่องราวของเธอเป็นมาอย่างไรบ้าง
สีเทาที่สะท้อนเรื่องราวของคนดำ
แน่นอนว่า การจะเข้าใจถึงตัวตนและงานศิลปะของเอมี่ เชอรัลด์ ได้อย่างลึกซึ้ง ก็จำเป็นต้องมารู้จักกับชีวิตของศิลปินสาวผู้นี้กันสักเล็กน้อยเสียก่อน
ชีวิตของเชอรัลด์เริ่มต้นที่โคลัมบัส รัฐจอร์เจีย ในวัยเด็กเธอเป็นหนึ่งในนักเรียนผิวดำเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนเอกชนที่เรียนอยู่ ณ เวลานั้น และด้วยความที่จอร์เจียเป็นรัฐทางตอนใต้ ทำให้การพูดคุยเรื่องเชื้อชาติและอัตลักษณ์เป็นเรื่องท้าทายอยู่ไม่น้อย ชีวิตในวัยเด็กที่เธอต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างทางอัตลักษณ์เหล่านี้ จะกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เธอก้าวขึ้นมาพูดถึงความไม่เท่าเทียมทางสีผิวในอนาคตด้วย
เชอรัลด์มีความสนใจในศิลปะตั้งแต่ยังเด็ก เธอมักใช้เวลาว่างในการวาดรูปมากกว่าจะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนนอกบ้าน กระทั่งเธอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอต้องละทิ้งเส้นทางศิลปะ แล้วหันหน้าเข้าหลักสูตรแพทย์ตามความต้องการของพ่อแม่
อย่างไรก็ดี เธอก็พ่ายแพ้ต่อความหลงใหลในศิลปะที่มาตั้งแต่เด็ก เชอรัลด์เลือกลงทะเบียนเรียนวิชาจิตรกรรมที่วิทยาลัยสเปลแมนในช่วงปีที่สอง ที่นั่นเธอได้พบกับ อาร์ตูโร ลินด์เซย์ (Arturo Lindsay) ศิลปินและนักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวปานามา ผู้นำเสนอผลงานเกี่ยวกับการสำรวจอิทธิพลของแอฟริกาที่มีต่อวัฒนธรรมอเมริกัน การพบกับตัวของลินด์เซย์ ทำให้เชอรัลด์ตัดสินใจละทิ้งเส้นทางแพทย์ และมุ่งสู่เส้นทางศิลปินอย่างเต็มตัว
หลังจากนั้นเธอได้ย้ายไปบัลติมอร์ และเริ่มพัฒนาเทคนิคการวาดภาพพอร์เทรตในแบบเฉพาะตัวของเธอ ในระหว่างนั้นเธอก็ได้เรียนรู้เทคนิคทางศิลปะที่เรียกว่า “กริไซล์” (grisaille) ซึ่งเป็นวิธีการวาดภาพด้วยสีโมโนโทน ด้วยการเน้นสีเทาเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้รูปเกิดมิติ โดยเทคนิคดังกล่าวก็ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานศิลปะของเธอจวบจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางศิลปินของเธอได้มาถึงจุดพลิกผัน เมื่อภาพ Miss Everything (Unsuppressed Deliverance) ของเธอ สามารถเอาชนะผลงานของศิลปินอื่นๆ กว่า 2,500 ชิ้น จนคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันวาดภาพบุคคล Outwin Boochever Portrait Competition ของหอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติได้ หลังจากความสำเร็จนี้ เธอก็ได้รับเลือกให้วาดภาพเหมือนของ มิเชลล์ โอบามา (Michelle Obama) อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งมันยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสามารถในทางศิลปะและการวาดภาพพอร์เทรตของเธอด้วย
ภาพบุคคลในสไตล์ของเชอรัลด์ จะถูกเรียกว่า “Stylized Realism” นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นจริงตามวิถีของภาพพอร์เทรต ก็จะต้องผสมผสานเทคนิคเฉพาะของตัวเธอเองลงไปด้วย โดยเธอจะใช้สีเทาในส่วนของสีผิว ตัดกับเสื้อผ้าสีสันจัดจ้าน เพื่อขับเน้นบุคลิกและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบุคคลเหล่านั้นออกมา แถมยังช่วยให้ผู้ชมไม่ต้องไปโฟกัสกับสีผิว แต่จะได้รู้จักกับบุคคลเหล่านี้ผ่านสีสันและลวดลายอื่นแทนนั่นเอง
เมื่อสีเทาปฏิวัติวงการศิลปะ
ฟังดูแล้ว เรื่องราวของเธอก็ไม่ต่างจากศิลปินท่านอื่นเท่าไหร่ หลายคนก็อาจสงสัยว่าภาพวาดพอร์เทรตของเชอรัลด์แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร
ก่อนอื่น อยากให้ทุกคนลองนึกย้อนกลับไป ในอดีตที่ผ่านมา ภาพบุคคล หรือภาพพอร์เทรตเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นการนำเสนอตัวตนของชนชั้นนำผิวขาว มีอยู่เพียงน้อยนิดที่เป็นคนผิวดำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ การที่เชอรัลด์หยิบเอาเรื่องราวของคนดำมาสร้างสรรค์อย่างร่วมสมัย จึงเป็นการทวงคืนพื้นที่ทางศิลปะให้กับคนผิวดำในฐานะตัวตนที่มีอยู่จริง ไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์ในประวัติศาสตร์อย่างที่เคยเป็นมา
เชอรัลด์จึงกลายเป็นศิลปินอีกหนึ่งคนที่ทลายกรอบความคิดแบบแผนและเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของคนผิวดำ ด้วยการใช้สีเทาแทนสีผิวจริงของบุคคลต่างๆ อันสะท้อนความเท่าเทียมและความเป็นมนุษย์ของบุคคลทุกกลุ่มโดยไม่คำนึงถึงสีผิว เพราะเราไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าบุคคลภายใต้สีเทาเหล่านี้มีสีผิวอะไร สิ่งที่เราสนใจจึงมีเพียงตัวตนด้านอื่นๆ ที่ถูกนำเสนอออกมามากกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ หากไม่นับภาพของมิเชลล์ โอบามา การเลือกใครสักคนมาเป็นแบบในภาพของเชอรัลด์ก็ยิ่งตอกย้ำจุดยืนที่ต้องการนำเสนอวัฒนธรรมทั่วไปของคนแอฟริกาอเมริกันอย่างแท้จริง เธอมักชวนคนแปลกหน้าตามท้องถนนให้มาเป็นแบบอยู่เสมอ เพื่อนำเสนอเรื่องราวของผู้คนธรรมดา ซึ่งมักแฝงไปด้วยความน่าสนใจไม่ต่างอะไรกับบุคคลสำคัญระดับโลกเลย
ภาพพอร์เทรตของเชอรัลด์ได้พลิกโฉมรูปแบบการนำเสนอภาพคนผิวดำในงานศิลปะตะวันตก การนำเสนอเรื่องราวคนผิวดำในชีวิตประจำวัน ทำให้ภาพเหล่านั้นเข้าถึงผู้ชมยุคปัจจุบันได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้กรอบความคิดแบบแผนของวัฒนธรรมสมัยนิยมเกี่ยวกับร่างกายของคนผิวดำ อีกทั้งมันยังทำให้เราได้เห็นถึงความหลากหลายและความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความหมายของการเป็นคนผิวดำในอเมริกาในปัจจุบันด้วย
งานศิลปะของเชอรัลด์ได้เปิดพื้นให้คนผิวดำเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสถาบันศิลปะที่สำคัญของประเทศ แถมเป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้เหล่าคนผิวดำไม่รู้สึกถึงการถูกกีดกันจากสถาบันเหล่านี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า เชอรัลด์ ถือเป็นศิลปินคนสำคัญ ผู้เป็นใบเบิกทางให้เหล่าศิลปินคนดำได้ก้าวต่อไปบนเส้นทางศิลปินได้อย่างภาคภูมิมากขึ้น
ผลงานทุกชิ้นของเธอ กลายเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้วว่า ทำไมเธอถึงตัดสินใจที่จะถอนภาพวาดทุกชิ้นออกจากนิทรรศการของหอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติสมิธโซเนียน เพราะมันคงจะเจ็บปวด หากต้องมีกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งจะต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างไม่เท่าเทียม
อ้างอิงจาก