ย่ำเท้าลัดเลาะผืนป่า สองตาส่องสัตว์จิ๋ว ณ อุทยานมรดกแห่งชาติเขาใหญ่
พระอาทิตย์ส่องลงบนหัวเหม่ง เที่ยงตรงแล้ว! แต่เราเพิ่งลืมตาตื่นในบ้านหลังเดิม ทั้งที่หลับลงด้วยความมุ่งมั่นว่าอย่างไรเสียหกโมงเช้าต้องเร่งเก็บกระเป๋าออกเดินทาง แอบปีนหนีออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด ท่าจะเพราะสงครามส่งด่วนในวัยทำงานฮุกเข้าที่หลังจนลุกไม่ขึ้นแน่
กระโดดขึ้นรถสิ! เรามีเวลาแค่สามวันสองคืนนะ
คร่อก แน่นอนว่าผู้เขียนตกอยู่ในความฝัน ตั้งแต่ประตูรถปิดจนล้อแล่นเข้าเขตจังหวัดสระบุรี แต่ดีเหลือเกินที่คราวนี้ไม่ได้ตื่นมาเห็นตึกระฟ้า หากเป็นทิวทัศน์ต้นไม้ชอุ่มขนาบถนนทั้งสายแทนที่ หลังจากผ่านเข้าด่านตรวจ เท้าเราก็เหยียบลง “ลานกางเต็นท์ลำตะคอง” เป็นครั้งแรก และที่น่าตื่นเต้นกว่านั้น เราได้มา “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” เป็นครั้งแรก
หูกลมมนทิ้งปลายแหลม ดวงตาสุกใสจ้องมองอย่างไม่หวาดหวั่น ทั้งกีบเท้าเดินนวยนาดปะปนกับมนุษย์ ไม่น่าแปลกที่ได้เห็นกวางมากกว่าสิบตัว เพราะลานกางเต็นท์นี้คือส่วนหนึ่งของโป่งทุ่งกวาง เราไม่เคยอยู่ใกล้สัตว์ป่าจนลูบขนมันได้ขนาดนี้มาก่อนเลย จำไม่ได้ว่าส่งเสียงงุ้งงิ้งคำว่าน่ารักออกไปกี่ครั้ง แต่ที่จำได้ดีคือขนมันนุ่มมาก!
นี่ก็คล้อยบ่ายจนเกือบเย็นแล้ว มื้อที่ห้าของวันไว้ค่อยว่ากัน เราต้องไปเก็บหมุดหมายที่สองก่อน รถออกแล่นอีกครั้งและจอดบริเวณ “น้ำตกเหวสุวัต” นี่เป็นชื่อที่ดูธรรมดาที่สุดจากหลายรายชื่อบนป้าย เพราะที่เหลือนั้นคือน้ำตกเหวนรก! ผาตรอมใจ! ผาเดียวดาย! อืม ขอเก็บไว้พิจารณาก่อนนะ
เราเดินเลาะบันไดปูนที่แสนชันอย่างระวัง อดหันหลังกลับไปมองไม่ได้เลยว่าขาลงยังหอบขนาดนี้ แล้วขาขึ้นจะขนาดไหนกัน
แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชื่นใจ
“ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว” ที่เราเห็นบนพื้นโคลนเปียก น้องถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเลยนะ สวยมากเลยใช่หรือเปล่า กล้องยังเก็บประกายจากปีกมาไม่หมดเสียด้วยซ้ำ เราเผลอคิดไปว่าเท่านี้คงคุ้มแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เดาว่าน้ำตกที่ไหนก็คงเหมือนกัน ทว่าผิดถนัด! วันนี้ธรรมชาติเขาอวดสายรุ้งตัดเส้นน้ำให้ดูกันเต็มตาเลยนะจะได้รู้กันไปว่าน้ำตกเหวสุวัตนั้นแสนพิเศษ
เรายืนให้ละอองน้ำกระทบใบหน้าอยู่พักใหญ่ สูดโอโซนจากพื้นที่มรดกโลกเก็บไว้จนเต็มปอด ก่อนจะกลับไปกางเต็นท์ จัดวางโต๊ะเล็กๆ เตรียมน้ำซุปดำ หมูสไลซ์สด เห็ดออรินจิใส่ลงในหม้อ ถ้าพุงมีปากมันคงกำลังยิ้มหวาน
เมื่อเม็ดสีเหลืองหล่นลงจนฟ้ามืดมิด นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มตรง เสียงของเจ้าหน้าที่อุทยานก็ประกาศออกโทรโข่ง“ขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวทุกท่าน งดใช้เสียง ปิดไฟในเต็นท์ และเก็บของให้มิดชิดที่สุดเพราะมีกวางอยู่รอบๆ” สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ เปลือกตาหนักอึ้งของเราค่อยๆ ปิดลง แต่ยังไม่ทันฝันก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักอยู่ข้างเต็นท์ ตาลืมขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด เพราะข้างเต็นท์มีเงาหูชูชัน ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ตัวก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ตอนนั้นเองที่เราไม่คิดว่านี่คือกวางผู้พิทักษ์แสนน่ารักแบบในแฮร์รี่พอตเตอร์ ฉายาใหม่ถือกำเนิดขึ้น“ปีศาจกวาง”
ถุงเลย์ถูกฉีกทึ้ง ผักบุ้งหนึ่งกำ องุ่นหนึ่งพวง เห็ดออรินจิหนึ่งต้นหายเกลี้ยง! ว่าแล้วเชียวว่าไม่ได้มานั่งเฝ้าเต็นท์ให้ ดูมีพิรุธแหม่งๆ ทั้งที่ปิดฝาลังแน่นแล้วนะ แต่เราง่วงหงาวเกินกว่าจะตื่นขึ้นมาโวยวาย เก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ดีกว่า
สำหรับหมุดหมายที่สามเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติอย่าง“หอดูสัตว์หนองผักชี” คราวนี้จะให้ภาพเล่าเรื่องแทนนะ
น่าเสียดายที่เราไม่มีกล้องส่องทางไกลจนทำให้มองนกไม่เห็นสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่รอบๆ เสียงจิ้งหรีด เสียงแมลงปอบิน นกเงือกร้องหาคู่ ผ่านมาครึ่งชั่วโมงท่ามกลางอากาศอบอ้าวส่งให้ท้อในการส่องหากันอยู่ไม่น้อย เราตัดสินใจเอี้ยวตัวกลับ
และแล้ว ระหว่างทางก็ได้เจอความอัศจรรย์ที่เฝ้าคอย “นกเงือก”
เพิ่งรู้ว่าน้ำหนักฝีเท้าตัวเองเป็นนักย่องเบาได้ก็ตอนนี้
คราวขากลับ เราแอบแชะภาพเบบี๋ลิงที่กำลังนั่งอมนิ้วตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยมาฝาก เป็นอีกครั้งที่นึกเสียดาย ใช่เพราะไม่มีกล้องส่องทางไกล แต่เพราะไม่มีกล้วยอยู่ในมือ
ทั้งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีผืนป่าเขียวขจีอยู่ใกล้กรุงเทพแค่คืบ แม้ที่ผ่านมาเท้าจะย่ำไปในหลายป่า แต่กลับมองข้ามเขตเขาใหญ่ไป สำหรับสามวันสองคืนนั้นยังไม่อิ่มหนำพอหรอก เพราะที่นี่ช่างกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ ทำเอาเข้าใจเลยว่าทำไมถึงถูกยกให้เป็นมรดกโลก อย่างไรน่ะเหรอ เพราะในค่ำคืนที่สองเรามีโอกาสได้เห็นเจ้าเม่นป่าเดินเตาะแตะส่ายก้นด้วยนะ แค่ว่าไม่อยากกดชัตเตอร์รบกวนเวลาสุขสันต์ของเขา ราวว่ามนุษย์กับสัตว์ป่าถูกกลืนเป็นเนื้อเดียวกันจริงๆ ต่อให้เขตแดนจะใกล้ความพลุกพล่านมากก็ตามที
ไว้มีโอกาสจะกลับมาตามเก็บหมุดหมายที่เหลือให้ครบนะ ดูท่า“อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” คงเป็นอีกที่ชอบหนึ่งในใจของเราเข้าให้แล้ว