ณัฐพงษ์ผิดหวังรัฐบาลจัดงบ 2569 ยังเน้นสร้างตึก ตัดถนน ขุดคลอง ไม่สอดรับวิกฤตที่ประเทศกำลังเจอ
วันนี้ (13 สิงหาคม 2568) ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระที่ 2-3 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยตอนหนึ่ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ลุกขึ้นอภิปรายฉายภาพการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลว่า มีปัญหา คิดไม่รอบคอบ และไม่สอดคล้องกับวิกฤตที่ประเทศกำลังเผชิญ
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเจอกับ 2 วิกฤต และ 2 สงคราม ได้แก่ วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา วิกฤตทางการเมืองรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ กระบวนการนิติสงคราม และสงครามทางการค้า แต่ในการแปรญัตติกลับเข้ามาของรัฐบาลครั้งนี้ไม่ได้เตรียมงบประมาณรองรับปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยในรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ณัฐพงษ์เล่าว่า กรรมาธิการวิสามัญสามารถปรับลดงบประมาณได้ 8,921 ล้านบาท คิดเป็น 0.24% ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งยังถือว่า ‘ต่ำกว่ามาตรฐาน’ เนื่องจากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กรรมาธิการวิสามัญสามารถลดได้เฉลี่ย 0.44% ของงบประมาณทั้งหมด
ณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า การแปรญัตติกลับเข้ามาของรัฐบาลครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบด้านการลงทุนไปเพื่อสร้างอนาคตของประเทศแต่อย่างใด แต่กลับมีการจัดสรรงบประมาณที่ขาดความรอบคอบของรัฐบาล เช่น เงินค่าประกันสุขภาพของพนักงานองค์กรอิสระ ที่ควรจะตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายประจำมาเต็มจำนวน ตั้งแต่วาระที่ 1 ของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.
ขณะที่งบด้านการลงทุน ผู้นำฝ่ายค้านวิจารณ์ว่า ‘น่าผิดหวัง’ ส่วนใหญ่เน้นไปที่การสร้างตึก ตัดถนน และขุดคลอง โดยการจัดสรรงบประมาณไม่ตอบโจทย์ประเทศนั้น ณัฐพงษ์มองว่าเป็นกระบวนการหูหนวก ตาบอด ขาดเข็มทิศ และไร้แผนที่ รัฐบาลที่มีอำนาจฝ่ายบริหารสามารถแก้ไขได้แต่กลับไม่แก้ไข
ณัฐพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ฟังเสียงของรัฐสภา เนื่องจากในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตั้งข้อสังเกตเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนราชการกลับไม่มีการปรับปรุงไส้ในของงบประมาณให้ตรงกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สะท้อนให้เห็นว่า เสียงของสภาฯ ไม่มีความหมาย สส.เป็นเพียงแค่ตราประทับให้กับงบประมาณของส่วนราชการประจำเท่านั้น
อีกทั้งการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ณัฐพงษ์มองว่า ไม่มีความโปร่งใส มีเงินนอกงบประมาณอีกเป็นจำนวนมากที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสภาฯ เช่น อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งถือเป็นเงินสะสมขององค์กรอิสระ แต่สภาฯ ไม่สามารถตอบสอบได้โดยตรง หรือแม้กระทั่งกรณีซื้ออาคาร SKYY9 Centre ของกองทุนประกันสังคม
นอกจากนั้นการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังขาดเข็มทิศ โดยพิจารณาจากงบลงทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของทางออกของปัญหาของประเทศ ยังคงกระจุกอยู่กับการสร้างตึก ตัดถนน และขุดคลอง
สุดท้ายณัฐพงษ์มองว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลนั้นไร้แผนที่ มองไม่เห็นภาพรวม การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่ควรมองแค่รายจ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณารายได้เพิ่มเติมด้วย เพราะหน่วยงานของรัฐมีรายได้ที่ไม่ต้องส่งคืนคลังเป็นจำนวนมาก เช่น รัฐพาณิชย์ ธุรกิจกองทัพ รวมถึงภาระทางการคลังอื่นๆ
โดยในร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปีฉบับนี้กลับยังมีการสร้างอาคารราชการใหญ่โต ไม่มีความจำเป็น รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท มีการจัดสรรงบประมาณไปจัดอีเวนต์รวมกว่า 7,000 ล้าน และมีงบประมาณทำแอปพลิเคชันรวม 2,500 ล้านบาท ในขณะที่ประชาชนยังประสบปัญหาอุทกภัยและปัญหาการปะทะชายแดน
“ถ้าผมมีอำนาจในฝ่ายบริหาร ยืนยันอีกครั้งว่า เราสามารถแก้ได้เกือบทุกเรื่อง เพื่อให้งบประมาณฟังเสียงสภาฯ มากขึ้น ประชาชนมองเห็นงบประมาณไส้ในมากขึ้น มีทิศทางมากขึ้น และเห็นสุขภาพทางการคลังภาพรวมของประเทศมากขึ้น
“ถ้าเราไม่ปฏิรูประบบงบประมาณที่รัฐบาลมีอำนาจ ไม่มีวันที่เราจะมองเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่หน่วยงานของรัฐถืออยู่ ไม่มีวันที่จะสามารถบูรณาการการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต่างๆ เหล่านั้นให้พุ่งเป้า ตรงจุดมากยิ่งขึ้น” ณัฐพงษ์กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้านยังอภิปรายในช่วงท้ายว่า สิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการ คือ ‘เม็ดเงินลงทุนใหม่’ ที่สร้างการเติบโตให้กับประเทศในอนาคต ก่อเกิดประโยชน์กับประชาชนคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เม็ดเงินลงทุนที่กระจุกตัวอยู่กับผู้ได้รับสัมปทานบางกลุ่ม เช่น งบลงทุนปลูกป่าเศรษฐกิจสร้าง Supply Chain ของ Biomaterial ถือเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่โลกต้องการ หรืองบลงทุนพัฒนาเมืองรอง เพื่อให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น เช่น น้ำประปาสะอาดดื่มได้ ขนส่งสาธารณะทั่วถึง กระจายความเจริญไปยังต่างจังหวัด
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือเม็ดเงินลงทุนที่สร้างอนาคตให้กับประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ประกาศเป้าหมายให้ชัดเจนและเอกชนเขาจะเข้ามาร่วมลงทุนกับพวกเรา” ณัฐพงษ์ทิ้งท้าย