ย้อนรอยรักฉบับ ‘มารี เบรินเนอร์’ เปิดคำพูดหลังเลิก ‘กัน-พิชญ์’ จากรักพังสู่รักครั้งใหม่ที่ซับซ้อน!
หลังจากตกเป็นข่าวใหญ่กรณีเมาแล้วขับ ชื่อของนักแสดงสาว "มารี เบรินเนอร์" ก็กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความรักครั้งล่าสุดกับ "ไฮโซบอส อัศม์กรณ์" ที่นอกจากจะเป็นอดีตสามีของนักร้องสาว "เชอรีน ณัฐจารี" แล้ว เขายังเป็นเพื่อนสนิทของ "พิชญ์ กาไชย" อดีตแฟนเก่าของมารีอีกด้วย และเมื่อประเด็นนี้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ชาวเน็ตก็ได้ขุดคลิปเก่าๆ ขึ้นมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง จึงทำให้เรื่องราวความรักของเธอถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงหลายคนยังให้ความสนใจเกี่ยวกับสาเหตุการเลิกรากับอดีตหวานใจก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นนักร้องหนุ่มชื่อดัง “กัน นภัทร” หรือหนุ่มพิชญ์ ตามที่มีการเสนอไปแล้วนั้น
โดยวันนี้ “บันเทิงเดลินิวส์” ได้ย้อนรวบรวมคำสัมภาษณ์ของมารี จากเหตุการณ์ในอดีตมาให้ได้ทราบกันอีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่ มารี มีข่าวเลิกกับ กัน โดย มารี ได้เผยว่า “ความรู้สึกในมุมของเรา คือถ้าฝั่งของเราก็คือเป็นความสัมพันธ์ที่เราก็เต็มที่ เรารู้สึกว่าเราก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเขาออกมาให้สัมภาษณ์แล้วก็โอเค ตามนั้นค่ะ ส่วนที่เขาบอกว่าผิดที่เขาสู้ไม่พอ ทำให้หลายคนสงสัยว่าสู้ไม่พอคือสู้เรื่องอะไร คือหนูว่าความรักมันก็ต้องสู้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ว่าปัจจัยรอบตัวของแต่ละคนหรือว่าเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ไม่สำคัญหรอกว่าเหตุผลคืออะไร แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคนใดคนหนึ่งไปต่อไม่ไหว ทั้งคู่ไม่พร้อมที่จะสู้ให้สุดก็ทำให้เป็นไปได้
เราก็มีเห็นความพยายามที่จะสู้ไปด้วยกันของเขาก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วถ้าไม่ได้รักกันมากก็คงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร หนูเชื่อว่ามันก็คือชีวิตแหละ มีสมหวัง มีผิดหวัง หนูว่านอกเหนือจากความรักมันก็มีความรู้สึกอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่ผ่านมาเราเคยพูดคุยหรือทบทวนเรื่องนี้กันบ้าง มันก็เป็น กว่าจะมาถึงจุดนี้มันก็ยากเหมือนกันค่ะ ถามว่าปัญหาหลักๆ คือการไม่เข้าใจกันเหรอ ถ้าในมุมของหนู หนูมองว่าเข้าใจกันนะคะ แต่มันก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถยอมกันได้ในบางเรื่อง คือหนูว่ามันก็สู้มาตั้งแต่แรก เต็มที่มาตั้งแต่แรก แต่ว่าถึงวันหนึ่ง มันก็คือมีคนใดคนหนึ่งที่สู้กว่า (น้ำตาคลอเสียงสั่น) หรือคนที่สามารถสู้กว่าได้ด้วยสถานการณ์ของตัวเอง ซึ่งเราสู้กว่า มันก็… (นิ่งแล้วน้ำตาคลอก่อนจะตอบด้วยเสียงสะอื้น) คือเขาก็สู้เต็มที่แล้ว ในมุมของเขา
เรารู้สึกเสียใจมากกับความรักครั้งนี้ แต่ก็โอเค ดีขึ้นแล้วจริงๆ ตื่นเต้น (ยิ้มพร้อมน้ำตาคลอ) ถามว่าวันนั้นใครเป็นคนตัดสินใจพูดคำว่าจบกัน (นิ่ง น้ำตาคลอ) มันไม่สำคัญหรอกจริงๆ แต่ก็ยอมรับว่าโอเค มันก็เป็นแบบนี้แหละ เราก็ทำใจ ณ วันนี้เรามูฟออนเท่าที่ทำได้ ส่วนเรื่องนี้เหตุผลเกี่ยวกับการรักๆ เลิกๆ ที่ผ่านมาไหม สำหรับหนูไม่เกี่ยว คือหนูรักคือรัก สู้คือสู้ (เสียงสั่น น้ำตาคลอ) ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย หนูก็เต็มที่ที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องมือที่สาม คือแบบถ้ามือที่สาม หรือมีคนอื่นอะไรแบบนี้ ไม่มีแน่นอน เราเชื่อว่าระหว่างที่คบเรา คือแบบเขาทำตัวดีมาก คือมันไม่มีใครผิดหรอก แต่คือแค่คนเราโตมาไม่เหมือนกัน ความคิด มุมมอง ความรับผิดชอบที่ต้องดูแล ก็ไม่เหมือนกัน
เรากำลังจะบอกว่าพื้นฐานครอบครัวเรามาต่างกัน มุมมองความคิดก็เลยต่างกัน ทำให้ไปกันไม่ได้ คือมัน… (เสียงสั่น น้ำตาคลอ) คืออย่างที่หนูบอก มันไม่สำคัญว่าเหตุผลคืออะไร แต่แค่สุดท้าย คือถ้าเราสลับกัน เราต่างคนก็อาจจะเป็นแบบที่เราเป็นอยู่ก็ได้ คือมันก็คือวิธีการเติบโตของแต่ละคน หรือว่าเป็นมุมมองชีวิต หรือหน้าที่ หรือความต้องการของแต่ละคน ว่าเป้าหมายในชีวิต ณ จุดนี้มันอาจจะไม่ได้ตรงกัน ก็เลยทำให้เอาชนะทุกอย่างไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนความรักของเราเลยไหม ก็คือเราก็มองว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่ หรือเป็นบทเรียนที่โหเราต้องแบบอะไรขนาดนั้น แต่ก็แค่รู้สึกว่าในส่วนที่เราทุ่มเท บางทีวิธีการทุ่มเทของเรามันอาจจะมากเกิน หรือเร็วเกิน แม้กระทั่งก็รู้สึกว่าอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการรักของตัวเองด้วยในอนาคต
ถามว่าไม่สามารถกลับมาเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักแบบที่เป็นก่อนหน้านี้ได้แล้วใช่ไหม คือ… (เสียงสั่น) สำหรับหนูอนาคตอาจจะได้ แต่ตอนนี้ก็ยังค่ะ ความรักครั้งนี้ก็สอนให้อย่ารีบร้อนค่ะ (ยิ้ม) คือสำหรับหนู คำว่าออกตัวแรงถ้าหมายถึงกับสื่อ หนูว่าไม่นะ หนูรู้สึกว่ารักจะแสดงออกยังไง หนูไม่ได้เก็บมุมมองความรักของคนอื่นมาคิดเท่ากับความรู้สึกที่มี แต่ที่หนูหมายถึงว่าเร็วนี่คือในแง่ของความรู้สึกมากกว่า ตอนนี้ก็ปิดพักหัวใจไปก่อนค่ะ"
อีกทั้งช่วงที่เลิกกับ พิชญ์ มารี เผยว่า “ตอนนี้โสดแล้ว ครั้งนี้โสดนานที่สุด โชคดีที่มีเพื่อนเยอะก็จะอยู่กับเพื่อนตลอด แล้วด้วยวัยที่เรารู้สึกว่ามีโอกาสได้โฟกัสงาน โฟกัสชีวิตตัวเองว่าจริงๆ แล้วชีวิตนี้เราอยากจะทำอะไร อยากจะพัฒนาธุรกิจอะไร ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะได้ไปโฟกัสธุกิจที่นอกเหนือจากวงการบันเทิงมากขึ้น ตอนนี้เปิดรับผู้สมัคร (แฟน) เหมือนเดิม เพราะเป็นคนไม่ค่อยปิดใจอยู่แล้ว ตามใจตัวเอง ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไร คิดว่าถ้าคนจะเข็ดกับความรักมันดูน่าเสียดาย การมีกำแพงมันดูเป็นการปิดกั้นตัวเองเกินไป ถ้าถามว่าเข็ดกับการคบคนในวงการไหม ก็ไม่ได้คิดว่าอาชีพหรือว่าประวัติคนหรือกลุ่มเพื่อนคนๆ นั้นมันมีผลกระทบ ในชีวิตจริง คิดว่าทุกๆ คนสามารถที่จะประทับใจต่อกันและกันได้ หรือสามารถเป็นคนที่ดีต่อกันและกันได้ ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตของคนสองคนมาเจอกันมากกว่า คงไม่เกี่ยวกับอย่างอื่น”
ขอบคุณภาพจาก: marie_broenner