“ไทยโมเดล” สู้เกมภาษีทรัมป์ เมื่อทางรอดไม่ใช่แค่ลดภาษีเป็นศูนย์
เส้นตายเจรจาใกล้ถึง ไทยยังมีไพ่ในมือ
ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นกำหนดเริ่มใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของรัฐบาลทรัมป์ในอัตรา 36% เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาแสดงความเห็นว่า เกมเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังไม่จบ และยังไม่ถึงจุดเลวร้ายที่สุด รัฐบาลไทยจึงควรใช้เวลาที่เหลือในการวางยุทธศาสตร์ต่อรองให้รอบคอบ
เขาเตือนว่าเป้าหมายของสหรัฐฯ คือการบีบให้ไทยเปิดตลาดสินค้าทุกประเภท ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และผ่อนปรนระบบโควตาสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตในประเทศของตนเอง
อย่าเดินตามเวียดนาม เปิดตลาดแบบมีชั้นเชิง
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญจากนายอนุสรณ์คือการไม่เดินตามแนวทางของเวียดนามที่ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตอบโต้ เขาเสนอให้ไทยเลือกเปิดตลาดเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพแข่งขัน หรือไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้รัฐเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตภายในก่อนค่อยเปิดตลาดในวงกว้าง
โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหว เช่น ข้าวโพด ปศุสัตว์ ซึ่งผู้ผลิตรายย่อยของไทยมีต้นทุนสูงกว่า รัฐจึงต้องเข้ามาช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ไทยโมเดล ทางรอดในสมรภูมิภาษี
ข้อเสนอ “ไทยโมเดล” ที่นายอนุสรณ์เสนอ คือการยอมเปิดตลาดในบางสินค้าแลกกับการลดภาษีให้ต่ำกว่า 36% โดยคำนึงถึงสมดุลระหว่างการรักษาการส่งออกและการปกป้องภาคผลิตภายใน เพื่อป้องกันการหดตัวของการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
เขาย้ำว่า การเจรจาควรมองให้ไกลกว่าข้อตกลงระยะสั้น ต้องวางยุทธศาสตร์รองรับการเปิดเสรีในระยะยาว เพื่อให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงผ่านการยกระดับผลิตภาพ การใช้เทคโนโลยี การแปรรูป และการสร้างแบรนด์อย่างเป็นระบบ
กลุ่มสินค้าเสี่ยง หากเจอภาษีสูง
จากบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัย DEIIT ได้ประเมินว่าหากไทยเจอกับอัตราภาษี 36% จริง จะเกิดผลกระทบในกลุ่มสินค้าเกษตรที่เป็นกลุ่มแข่งขันราคากับประเทศที่มี FTA กับสหรัฐฯ หรือได้ GSP โดยตรง เช่น
• มะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว แข่งขันกับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย
• สับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด ต้นทุนไทยสูงเกิน 20%
• ข้าวหอมมะลิ แม้มีแบรนด์ แต่ราคาแพ้เวียดนาม อินเดีย
• อาหารทะเลแปรรูป เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง เสียเปรียบเอกวาดอร์
• ผลไม้ผสม ราคาต่ำ ที่อเมริกามีทางเลือกภายในและนำเข้าจากลาตินอเมริกา
เปิดเสรีแบบมีเงื่อนไข เพื่อป้องกันภาคผลิตพัง
อนุสรณ์ให้ความเห็นว่า การเปิดเสรีทางการค้าในระยะยาวจะเพิ่มการแข่งขันและลดอำนาจผูกขาด ส่งผลดีต่อผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจ หากดำเนินการอย่างเป็นธรรม แต่หากเปิดเสรีเร็วเกินไปในขณะที่ผู้ผลิตภายในยังปรับตัวไม่ทัน ก็เสี่ยงทำให้บางอุตสาหกรรมล่มสลาย กลายเป็นการพึ่งพาการนำเข้าแต่เพียงฝ่ายเดียว
เพื่อป้องกันสถานการณ์นี้ รัฐต้องมีมาตรการเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม เช่น การสนับสนุนเอสเอ็มอี การฝึกอบรมแรงงานใหม่ การลงทุนด้านนวัตกรรมและการแปรรูปสินค้าส่งออก เพื่อให้สามารถยืนระยะได้ในโลกเสรีการค้าที่เปลี่ยนไป
เตือนแรงงานเสี่ยงตกงาน SMEs เสี่ยงปิดกิจการ
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ไปจนถึงปี 2569 หากไม่สามารถลดอัตราภาษีนำเข้าได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดการปิดกิจการในภาคส่งออก โดยเฉพาะ SMEs จะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันแรงงานจำนวนมากอาจถูกเลิกจ้างหรือถูกลดชั่วโมงทำงาน ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ และลากเศรษฐกิจในภาคอื่นให้ชะลอตัวลงตาม เช่น ธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และภาคบริการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "เมียนมา" วอนทรัมป์ ช่วยลดภาษีนำเข้า 40% ยอมแลกนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0 %
- บริษัท"รถยนต์ญี่ปุ่น" ยอมหั่นราคายนต์ส่งออกไปสหรัฐฯ หวังลดผลกระทบ"ภาษีทรัมป์"
- เขตเศรษฐกิจไหนในเอเชีย เจอภาษีทรัมป์หนักสุด เทียบกับประเทศไทย
- รมว.แรงงาน มั่นใจภาษี "ทรัมป์" ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราการจ้างงาน
- หอการค้าไทย ชี้ภาษีสหรัฐฯ ทุบจีดีพีไทยโตไม่ถึงร้อยละ 1