มหากาพย์สีกากับพระ "เงินทอง-สัมพันธ์สวาท" และ "อ่อนต่อโลก" ที่ต้องไม่จบแค่สึก! ** ยุบพรรค!! กลับมาหลอน 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม
ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ มหากาพย์สีกากับพระ "เงินทอง-สัมพันธ์สวาท" และ "อ่อนต่อโลก" ที่ต้องไม่จบแค่สึก!
เรื่องฉาวโฉ่สะท้านวงการผ้าเหลืองพีกไม่พักจริงๆ
เรียกว่า มีประเด็นใหม่มาเขย่าศรัทธาให้ติดตามจนขอบตาดำ
จากที่เคยคิดว่าเรื่องพระกับสีกาจะจบแค่ "สึก" แล้วก็แยกย้าย
นี่ไม่ใช่สำหรับกรณีพระผู้ใหญ่กับ "สีกากอล์ฟ" เลย! ยิ่งมายิ่งหนัก …รูปแล้วรูปเล่า
ล่าสุดที่ทำเอาอึ้งไปตามๆกัน คือกรณีของ “พระเทพพัชราภรณ์” (สมพงษ์ ฐิตวํโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ออกมาสารภาพแบบว่าตัวเองนั้น "อ่อนต่อโลก" โดน "สีกากอล์ฟ" ดูดเงินไปเกือบ 13 ล้านบาท!
ฟังไม่ผิด! สิบสามล้านบาท อาจจะเทียบไม่ได้กับกรณี "พี่แย้ม" อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เปย์สีกา แต่นี่น่าจะเป็นสถิติใหม่ของเส้นเงิน ที่พัวพันระหว่างพระผู้ใหญ่กับสีกากอล์ฟคนนี้ เลยก็ว่าได้!
เงินก้อนโตขนาดนี้มาจากไหน? อดีตเจ้าอาวาสท่านว่า “เป็นเงินเก็บส่วนตัว” ที่ได้จากการรับกิจนิมนต์มาตลอดชีวิตที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ เพราะบวชมานาน และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ท่านก็ยอมลาสิกขา เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายทันที ไม่หนี ไม่เลี่ยง!
ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะเหมือนตกเป็นเหยื่อของ "นารีพิฆาต" เต็มๆ ด้วยสีกาคนนี้ มักจะมาขอหยิบยืมเงิน อ้างว่าเอาไปทำธุรกิจ พอยืมไปแล้วก็หายเงียบ ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ได้คืน แถมยังหน้าด้านมาขอยืมเพิ่มอีก! ท่านก็หวังจะได้เงินเก่าคืน เลยต้องยอมโอนให้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อนมหึมา อย่างที่เห็น
จากกรณีนี้ สิ่งที่เราเห็นชัดๆคือ จุดอ่อนของการบริหารจัดการเงินในวัดหลายๆ แห่ง เพราะการเบิกจ่ายบัญชีวัดที่ว่านี้ ไม่มีกรรมการ หรือไม่มี “ไวยาวัจกร” เข้ามาดูแลเลย ทำให้ทุกอย่างอยู่ที่เจ้าอาวาสเพียงรูปเดียว!
เชื่อเถอะว่ามีอีกหลายๆ วัด ก็คงเป็นแบบนี้ ซึ่งนี่คือจุดที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำรอยอีก!
โชคยังดีที่อดีตเจ้าอาวาสท่านยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีคลิปความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เข้ามาเกี่ยวข้องในกรณีนี้ แต่เบื้องต้น ก็อาจเข้าข่ายความผิดฐาน ยักยอกเงินวัด 400,000 บาท ซึ่งตรงนี้ต้องรอการสอบสวนต่อไป และย้ำว่า ตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายจับ
งานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องฉาวโฉ่ส่วนตัวระหว่างอดีตพระหลายๆรูป กับ สีกากอล์ฟ
สังคมกำลังจับตามองว่า จะมีใครโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือรัฐบาล ควรจะทำอะไรสักอย่างหรือไม่ ?
แน่นอนงานเข้า “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการแทนนายกฯ ไปเต็มๆ
“ภูมิธรรม” บอกว่า คดีนี้สั่นสะเทือนความรู้สึกของประชาชน และกระทบความมั่นคงในแง่ของพุทธศาสนาที่เป็นหลักของประเทศอย่างรุนแรง จึงได้สั่งการให้ “ดีเอสไอ” เข้ามาช่วยดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิด เสริมทัพกับ “ตำรวจสอบสวนกลาง” เพื่อให้คดีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเด็ดขาด!
ต้องบอกว่า สังคมก็ต้องการเห็นบทที่คนกลุ่มนี้ ทั้งอดีตพระ และสีกา ได้รับผลกรรมเป็นรูปธรรม มากกว่าคำพูดขึงขังของ “ภูมิธรรม”
ย้ำชัดๆ ว่าต้องเป็น "คดีตัวอย่าง" ที่จะทำให้เห็นว่าการกระทำแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก และ ถ้าเกิดขึ้นแล้ว จะไม่ใช่ "แค่สึกแล้วจบ" ไปเฉยๆ ผู้ก่อเหตุจะต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม!
สังคมชาวพุทธไม่มีใครรับได้ และเห็นความสำคัญ และเชื่อว่าจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องที่บั่นทอนศรัทธาของพุทธศาสนิกชนแบบนี้ ก็ได้แต่หวังว่า บทสรุปของคดีนี้จะออกมาเป็นบทเรียนสำคัญให้กับทุกฝ่ายได้จริงๆ
++ ยุบพรรค!! กลับมาหลอน 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม
เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาในข้อหาทุจริตหรือใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย รวม 3 คดี ลงโทษจำคุกรวม 8 ปี แต่ได้รับพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี
“ทักษิณ” จึงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ เพราะเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกในข้อหาทุจริต หรือใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 24 (2)
ดังนั้น เมื่อ “ทักษิณ”เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ กับพรรคเพื่อไทย จึงเสี่ยงกับการที่พรรคเพื่อไทย จะถูกร้องว่า ปล่อยให้ “ทักษิณ” ครอบงำพรรค ผิดกฎหมายพรรคการเมือง มีโทษถึงยุบพรรค
แต่ในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยมีปัญหารุมเร้า รัฐบาลกำลังง่อนแง่น เพราะ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจ ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่เคยกอดคอกันมา ก็ถอนตัวไปเป็น “ฝ่ายแค้น”
“ทักษิณ” จึงจำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว “เป็นตัวแทนลูกสาว” ที่เป็นทั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีควบ รมว.วัฒนธรรม เพื่อรักษาอำนาจ
อย่างเช่นเมื่อช่วงบ่าย วันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา “ทักษิณ” ออกไปโชว์วิชัน เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฉลองตำแหน่งใหม่ ที่ลูกสาวมานั่งเป็น รมว.วัฒนธรรม
ตกค่ำไปเป็นแขกพิเศษ ของ “3 บก.ใหญ่เครือเนชิน” คุยเรื่องผ่าทางตันประเทศไทย
วันที่ 11 ก.ค.เข้าบ้านพิษณุโลก นั่งหัวโต๊ะ ถกปัญหาภาษีทรัมป์ กับทีมที่ปรึกษา และทีมไทยแลนด์
แน่นอน ย่อมมีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า ที่ทำไปนั้น เข้าข่ายครอบงำพรรค ครองงำรัฐบาลขัดๆ แต่ทำไม กกต. ดันเปลี่ยนบทบาท ไปเป็นเกษตรกร …เอาหูไปนา เอาตาไปไร่
แล้ว “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ก็เข้ายื่นคำร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และกกต. (14 ก.ค.) ขอให้ไต่สวน สอบสวน กรณี "นาย สทร." ซึ่งมิใช่สมาชิกของพรรค กระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือ ชี้นํากิจกรรมของพรรคเพื่อไทย
ที่ “พี่ศรี” ยกมาร้องเรียน ประกอบด้วย กรณี“นาย สทร.” ไปบรรยาย และให้สัมภาษณ์แก่สื่อ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.68 ณ สำนักงาน ป.ป.ส. กรุงเทพฯ … ให้สัมภาษณ์ในรายการของ “เนชั่น ทีวี” เมื่อวันที่ 30 พ.ค.68 … กรณีเจรจายึดกระทรวงมหาดไทยคืนมาจากพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งการพูดคุย ตอบคำถามผ่าทางตัน ของ “3บก.ใหญ่” และ ร่วมถกแผนรับมือภาษีทรัมป์ กับทีมไทยแลนด์ ที่มีตัวแทนจากพรรคพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วม
เรื่องที่ “พี่ศรี” ร้องต่อ กกต.ครั้งนี้ อาจต้องใช้เวลานาน เพราะทางสำนักงาน กกต.ต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ก่อนจะสรุปให้ เลขาฯกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาว่าจะส่งต่อให้กกต.ชุดใหญ่ หรือจะตีตก ยกคำร้องไป … แต่ก็ถือว่าได้ “จองกฐิน” ไว้แล้ว
ในวันเดียวกันกับที่ “พี่ศรี” ไปร้องเรียนนี้ ก็มีรายงานข่าวว่า วันนี้ (15 ก.ค.) คณะกรรมการสอบสวน 6 คำร้อง ที่มีผู้ร้องขอให้ กกต.พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จากเหตุการณ์ที่ “ทักษิณ” ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค กระทำการครอบงำ ชี้นำ และ “6 พรรคการเมือง” ก็ยินยอมให้ “ทักษิณ” ครอบงำ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า!!
คงจำกันได้ว่า วันที่ 14 ส.ค.67 นั้น เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณี ตั้ง“ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง!!
และในช่วงบ่ายถึงค่ำวันเดียวกันนั้น บรรดาหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น ก็วิ่งโร่เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อหารือว่าจะตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วในที่สุดประเทศไทยก็ได้ “แพทองธาร ชินวัตร” มาเป็นนายกรัฐมนตรี
เรื่องนี้ มีหลายคน ที่นำเรื่องเข้าร้องเรียนต่อ กกต. ว่า 6 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลในขณะนั้น ยอมให้ ทักษิณ “ครอบงำ” ประกอบด้วย 1. ผู้ร้องที่ถูกระบุว่าเป็น “บุคคลนิรนาม” 2.“นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี 3. “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และ 4. “นพรุจ วรชิตวุฒิกุล” อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว2006
แต่ “ทักษิณ” บอกว่า คนที่เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า วันนั้น แค่ไป “กินมาม่า”
ตามรายงานข่าวบอกว่า วันนี้ (15ก.ค.) ทีมสืบสวนสอบสวน จะสรุปเรื่องเสนอ “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
เมื่อเรื่องถึงมือ “แสวง บุญมี” จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็ออกได้ 3 หน้า คือ 1. ข้อมูล พยาน หลักฐาน ยังไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัย ให้กลับไปหามาเพิ่มเติม 2. ยกคำร้อง 3. เห็นว่ามีมูลความผิด ส่งให้ที่ประชุมกกต. พิจารณายุบพรรค
ดูทรงแล้ว แนวทางที่ 1 น่าจะตัดทิ้งไปได้ เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ ก็สืบสวน สอบสวน หาพยานหลักฐานกันมาเกือบครบ 1 ปีเต็มเข้าไปแล้ว จะต้องหาอะไรกันอีก
จึงเหลือแค่ 2 แนวทางเท่านั้น คือ ยกคำร้อง กับ ส่งให้ กกต.สั่งยุบพรรค!!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO