วิ่งฝ่ามรสุมอารมณ์ พาพอร์ตข้ามผ่านสงคราม-การเมือง
เวลานี้หันไปทางไหนเจอแต่ข่าวร้ายท่วมโลกไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจและจับตามองอย่างใกล้ชิดในตอนนี้ หนีไม่พ้นเรื่อง “สงคราม” ที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ กระตุกอารมณ์กลัวของนักลงทุนเมื่อนั้น เพราะต้องลุ้นระทึกตลาดหุ้นจะพังแค่ไหน
แค่ครึ่งแรกของปี 2568 โลกและไทยปั่นป่วนไม่มีพักเบรก แล้วแนวโน้มข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
ผมขอไล่เรียงสถานการณ์ใหญ่ๆ ของโลกและไทยครับสงครามภูมิรัฐศาสตร์ สดๆ ร้อนๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทุรุนแรงระหว่างอิหร่านและอิสราเอลสร้างความกังวลไปทั่วโลก ยิ่งวันที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศโดดร่วมวงกับอิสราเอลยิงขีปนาวุธใส่อิหร่านในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ปฏิบัติการณ์เพียง 1 วัน แต่ก็สร้างความเสียหายเกิดขึ้น และสถานการณ์ก็พลิกผันรวดเร็ว เมื่อ “ทรัมป์” ประกาศหยุดยิงในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ หลังจากทั้งคู่ “อิสราเอลและอิหร่าน” ทำข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าสถานการณ์จะปะทุอีกเมื่อไหร่
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ช่วงที่ทั้งสองประเทศกำลังทำสงครามกันอยู่นั้น ตลาดหุ้นทั้งอิหร่านและอิสราเอล กลับปรับตัวขึ้นทำ “นิวไฮ” สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง นำโดยสหรัฐฯ และภายหลังจากสหรัฐฯ ประกาศหยุดยิงขีปนาวุธ หุ้นสหรัฐฯ ก็พุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน และห่างจาก All time high แค่ 0.5% เท่านั้น (24 มิ.ย.) ตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตามตลาดโลกยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ถูกเคราะห์ซัดกรรมซัดหลายปมร้อนในประเทศ
สงคราม “รัสเซียกับยูเครน” ที่ยืดเยื้อกันมาหลายปี ในแง่ของการลงทุนแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวผมมองว่า จากอดีตที่ผ่านมาช่วงเริ่มต้นสงคราม จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นจะผันผวนรุนแรงที่สุดจาก “อารมณ์กลัว” หรือความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน แต่หลังจากนั้น เมื่อสถานการณ์ชัดเจนขึ้น ทุกอย่างก็จะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ และไม่ว่าจะกี่สงครามในอดีต สุดท้ายตลาดหุ้นก็ยังสามารถกลับมาเติบโตได้
สงครามการค้า หรือ Trade War 2.0 ผ่านการประกาศภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนถึงวันนี้การเจรจาการค้ากับหลายๆ ประเทศ ก็ยังไม่สิ้นสุด และการยกเว้นภาษีชั่วคราวใกล้ครบกำหนด 8 สิงหาคม 2568
ปัจจุบันเริ่มมีข่าวที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับบางประเทศให้เห็นบ้างแล้ว อย่าง สหราชอาณาจักร ส่วนจีนเป็นช่วงการพักรบภาษีชั่วคราวและคาดหวังว่าแนวโน้มจะลุล่วงไปในทิศทางที่ดี ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นหลังจากตกลงไปในช่วงแรก แต่หลังวันที่ 8 สิงหาคมนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สงครามค่าเงิน หลังจากที่เกิดความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ โดยมีแรงเทขายออกมาเพื่อลดการถือครองของฝั่งเอเซีย ซึ่งผู้ถือพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่อย่างจีน และญี่ปุ่น ต่างมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นอาวุธตอบโต้สงครามภาษีและเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินในประเทศตนเอง โดยเฉพาะจีนที่ต้องการลดการพึ่งพิงการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้ลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหันสร้างระบบการค้าที่ผูกกับค่าเงินหยวน ขึ้นมา ส่วนญี่ปุ่นต้องการเดินหน้านโยบายการเงินตึงตัว เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการกลับทิศของดอกเบี้ยขาขึ้นในญี่ปุ่นกระทบถึงนักลงทุนทั่วโลกที่ทำ Yen Carry Trade ต้องถอนเงินออกจากสินทรัพย์ต่างๆที่ลงทุนในสหรัฐฯ และทั่วโลก ที่อาจกระทบค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า สงครามดอกเบี้ย ซึ่งหลายๆ ประเทศแข่งกันลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ คงดอกเบี้ยสูง 4.25%-5.50% เนื่องจากกังวลปัญหาเงินเฟ้อกลับมาสูงจากสงครามภาษี แต่สัญญาณอาจจะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ซึ่งเดิมตลาดคาดจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงเดือน ก.ย. และปลายปีนี้
สงครามเทคโนโลยี แม้จะไม่ได้กระทบเป็นวงกว้าง แต่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ระหว่างเบอร์ 1 และ 2 ของโลกอย่างสหรัฐฯ และจีนดุเดือดขึ้นมาเรื่อยๆหลังจากจีนเปิดตัว DeepSeek ที่มี AI ประสิทธิภาพสูงต้นทุนต่ำ ทำให้เบอร์หนึ่งอย่าง OpenAI ของสหรัฐฯ เองก็ต้องต่อสู้เพื่อยังคงครองความเป็นหนึ่งเอาไว้
แนวโน้มในระยะข้างหน้า ผมคาดว่าในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้ จะยังคงเป็นเกมการแข่งขันกันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในการจัดการเศรษฐกิจโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศ เพราะต่างคนต่างก็มีปัญหาในประเทศตัวเองที่ต้องแก้ไข ดังนั้น โลกยังเผชิญกับความปั่นป่วนที่จะมีมากขึ้น และไม่มีใครคาดล่วงหน้าได้ว่าจะมาในรูปแบบใดและรุนแรงมากกว่าหรือน้อยกว่าด้วย
คำถาม “สหรัฐฯ กับจีนจะเกิดสงครามร้ายแรงหรือไม่” นั้น หากพิจารณาจากในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งก่อน ทรัมป์ไม่ค่อยยุ่งเรื่องสงคราม และการกลับมาครั้งนี้ เขาก็พยายามสงบศึกทุกด้าน
ส่วนจีน มองว่า เข้าไม่อยากจะยุ่งเรื่องสงครามอยู่แล้ว เพราะจีนเป็นนักการค้าที่อยากจะทำให้คนในชาติอยู่ดีกินดี จึงคาดว่าความขัดแย้งในครั้งนี้จะบานปลายเพียงแค่สงครามการค้าและการต่อรองกันเท่านั้นครับ
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความน่ากังวลในหลายๆ ประเด็น ผมยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงเติบโตและยังมีหลายอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาไม่มีหยุด จะคอยเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้อยู่ครับ
หากดูมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก “สหรัฐฯ” แม้ปัจจุบันภาครัฐจะมีปัญหาภาระหนี้ที่สูง รวมถึงความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ จากต่างประเทศลดลง แต่สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก อีกทั้งรัฐบาลได้ผ่านร่างกฎหมายปรับลดภาษี และเสนอเพิ่มเพดานหนี้ ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีปัญหา แต่ในระยะยาวอาจต้องดูแนวทางแก้ไขเพื่อคลี่คลายอย่างแท้จริง
“จีน” มหาอำนาจเบอร์สองของโลก โดยภาพรวมจีนแข็งแกร่งและมีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีโลก เห็นได้จากการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ แม้ในภาพรวมของภาคประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากตัวเลข GDP ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 2564-2567) คงเติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2%
และในปี 2568 รัฐบาลจีนยังคงตั้งเป้าหมายเติบโต 5% พร้อมกับการอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อประคองเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโต หวังจะช่วยทดแทนภาคส่งออกที่หดตัวจากผลกระทบของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้มังกรน้อย “เวียดนาม” แม้จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่เวียดนามยังคงเป็นดาวรุ่งที่มีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย 6-7% ต่อปี มีประชากรวัยแรงงานและยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งเป็นโรงงานโลกที่ยังต้องเดินหน้าภาคการผลิต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ค่าเงินด่องอ่อนค่า ก็ยังคงเป็นปัญหาหนัก
หันกลับมามองประเทศไทยเอง ก็ยังเผชิญกับปัญหายากลำบากเช่นกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอนสูงจากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทย ตอนนี้หาจุดลงทุนได้ยากมากๆ ครับ เพราะไม่มั่นใจเลยว่า ปรับตัวลงต่ำสุดหรือยัง?
สาเหตุที่หุ้นไทยยังไม่นิ่งด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อ คือ
1. ปัญหาการเมือง นักการเมืองไทยไม่ได้ให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นไทยมากนัก กล่าวคือ ไม่ได้สนใจที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแท้จริง จึงยังไม่เห็นนโยบายดีๆ ออกมาอย่างชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม และสถานการณ์ล่าสุด รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังขาดเสถียรภาพทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลที่เสียงแตก รวมทั้งการนัดชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มรวมพลังแผนดินปกป้องอธิบไตย ในวันที่ 28 มิ.ย. นี้
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลใช้นโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเลต ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก และยังต้องหาตัวขับเคลื่อนที่ดีกว่าเข้ามาที่เป็นการลงทุนระยะยาว ในส่วนของภาคท่องเที่ยวไทยที่ดีขึ้น แต่ยังถือว่าฟื้นตัวกลับมาไม่ได้เต็มที่ จึงไม่สามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะเวลาอันสั้นได้ ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียในภาคธุรกิจขนาดเล็กยังสูงอยู่ ทั้งนี้ ตลาดคาด กนง. อาจจะพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 0.75% หลังจากครึ่งปีแรกได้ปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง มาอยู่ที่ 1.25% หากดอกเบี้ยปรับลดลงรวม 1% น่าจะช่วยลดต้นทุนการเงินและภาระหนี้บางสาวนแก่ภาคธุรกิจและลูกหนี้ได้ ซึ่งก็อาจจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นบ้าง
เพราะฉะนั้น ปัจจัยเร่งการเติบโตของตลาดหุ้นไทยจึงไม่ค่อยมี ขณะที่ตลาดหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจค่อนข้างลึกแล้ว และเมื่อมีปัจจัยการเมืองขาดเสถียรภาพเพิ่มขึ้น กดดันดัชนี SET ที่ปริ่มๆ อยู่ระดับ 1,000 จุด ถือเป็นจุดต่ำสุดหรือยัง ทายอย่างไรก็ยากครับ เพราะตลาดหุ้นจะปรับขึ้นได้ ต้องมีความเชื่อมั่นกลับมาก่อน จึงจะเห็นเศรษฐกิจเติบโต ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ของไทยโตยากแล้ว หลังจากหยุดอยู่นิ่งๆ ประมาณ 90 บาทต่อหุ้นมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะ 5 ปีที่ผ่านมา กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้เติบโตเลย
หากประเมินว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ คาดการณ์ 90 บาทต่อหุ้น ที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) 10 เท่า ซึ่งถือว่าถูก ส่วนป้าหมายดัชนี SET อยู่ที่ 900 จุด ถือเป็นแนวรับของหุ้นไทยที่ไม่ควรหลุดระดับนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องความถูกแพง ตอนนี้หุ้นไทยปรับตัวลงมากครับ หากจะลงทุนก็พอจะได้บ้าง แต่ต้องเลือกหุ้นให้ถูก เพราะด้วยระดับราคาในปัจจุบัน ถ้าคุณต้องถือ 5-10 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนก็อาจจะไม่ได้สูงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ และยังมีความเสี่ยงจากนโยบายต่างๆ เพราะเราไม่สามารถคาดได้ว่า อีก 5 ปีประเทศไทยจะถอยหลังหรือจะเดินหน้า
ที่สำคัญ การเมืองจะเปลี่ยนขั้วไปมาหรือไม่ จะมีรัฐประหารอีกหรือไม่ ประเทศไทยจะหยุดนิ่งหรือจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าจริงๆ ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคาดได้ คือ เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง การลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นจะดีกว่าแน่ๆ และถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ จีน หรือเวียดนาม ซึ่งเศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าไทยแล้ว ก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูน่าสนใจลดลง
แนวโน้มในระยะข้างหน้าไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ ก็เห็นแต่ความไม่ชัดเจนไม่แน่นอนยังปกคลุมอยู่ ต้องยอมรับว่าปีนี้สถานการณ์ทุกอย่างดูน่ากลัว หลายคนคงคิดไม่ตกว่า เราควรลงทุนต่อหรือปรับตัวอย่างไรดี? หรือควรจะเทขายทรัพย์สินออกมาก่อนไหม ? แล้วสถานการณ์แบบนี้ ยังมีวิกฤติในโอกาสอยู่หรือไม่ ?
ผมตอบฟันธงเลยครับว่า “ทุกวิกฤติเป็นโอกาสลงทุน” ส่วนคุณจะต้องถามใจตัวเองด้วยว่า “จะลงทุนต่อไหม” หากต้องการลงทุนต่อ จะต้องลงทุนอย่างไรให้ถูกหลักการ เพื่อให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นละทนทานพร้อมเติบโตได้ทุกสภาวะ ซึ่งผมจะมีคำตอบให้ด้วยครับ
คุณยังสงสัยใช่ไหมว่า ทำไม ทุกวิกฤติเป็นโอกาสลงทุน?
นั่นก็เพราะว่าข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาจะพบว่า การลงทุนในช่วงวิกฤติ หรือลงทุนทันทีหลังเกิดวิกฤติ จะสามารถสร้าง “ผลตอบแทนระยะยาว” ที่แข็งแกร่งมากกว่าการพยายามจับจังหวะตลาด หรือการเทขายเมื่อราคาสินทรัพย์ต่ำลงและกลับมาซื้อคืนในภายหลังที่มักจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่า
โดยจะเห็นว่าการลงทุนในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 ในปี 2563 หากถือมาจนถึงปัจจุบัน 2568 จะได้ผลตอบแทน 56.69% หรือลงทุนในช่วงปี 2565 ที่เกิดวิกฤติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หากถือมาถึงปัจจุบันจะได้ผลตอบแทน 15.45%
และผมจะรู้สึกเสียดายมากว่า ในภาวะวิกฤติ จะมีนักลงทุนบางส่วนมักจะตื่นตกใจและเทขายพอร์ตออกมาก่อน ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดผันผวน “ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มีความสำคัญมากกว่าความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) มาก”
สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือ “การสงบสติอารมณ์” และ “หลีกเลี่ยงการขายเมื่อตื่นตระหนก” คุณควรทำความเข้าใจว่า ความผันผวนของตลาดเป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือ “ต้องคงเงินลงทุนไว้ และไม่ออกจากตลาดในช่วงขาลง เพราะในอดีต การถือครองสินทรัพย์ผ่านวิกฤติ พิสูจน์แล้วว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าการขายออกไปด้วยความกลัว เพราะฉะนั้น การตั้งสติ ใช้ EQ รักษาพอร์ตพารอด
สำหรับเส้นทางในการลงทุนระยะยาว ปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นตกต่ำมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น วิกฤติการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น ฟองสบู่ดอทคอม วิกฤติการเงินปี 2008
แม้แต่สงครามการค้าครั้งแรกภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็เคยทำให้ตลาดปรับตัวลดลงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นตลาดสหรัฐฯ ในภาพรวมก็สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้
โดยจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำลายสถิติมาหลายครั้งหลายคร โดยในปี 2566 และ 2567 ดัชนี S&P 500 เป็นบวกติดต่อกัน 2 ปี รวมๆ บวกไปประมาณ 50% เช่นเดียวกับอีกหลายตลาดที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้
สถานการณ์ปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับวิกฤติหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เช่น การประกาศทำสงคราม ทำให้นักลงทุนเกิดอารมณ์กลัวจนเทขายหุ้นออกมา และเมื่อปัญหาถูกแก้ไข วิกฤติต่างๆ คลี่คลายไป ดัชนีหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นมาในแบบที่ควรจะเป็น ดังนั้น วิกฤติในครั้งนี้เองก็เชื่อว่า เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย ตลาดหุ้นจะกลับมาได้ในท้ายที่สุด
แม้ในระยะข้างหน้า การลงทุนนับจากนี้ไปจะยังคงเห็นความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก โดยระยะเวลาและความรุนแรงของภาวะขาลงนี้ จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสงครามการค้านับจากนี้เป็นต้นไป และผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม โลกยังคาดว่า สหรัฐฯ และจีนจะยังคงเป็นสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก และการขยับตัวของยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศ ย่อมสะเทือนไปยังประเทศต่างๆ ไม่มากก็น้อย
ผมขอยืนยันว่า โอกาสในช่วงขาลงมีอยู่เสมอสำหรับมุมมองของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) และนี่ถือเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่มีคุณภาพในราคาที่ต่ำลง ดังนั้น นักลงทุนควรมองหาบริษัทที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้ในระยะยาว
สำหรับนักลงทุน สามารถเป็น “นักเลือก” โดยเลือกลงทุนกับผู้ชนะในธุรกิจต่างๆ หรือเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพและแนวโน้มดี ซึ่งนาทีนี้อาจง่ายกว่าการพยายามสร้างความมั่งคั่งจากการเริ่มทำธุรกิจ ที่อาจค่อนข้างลำบากจากปัจจัยหลายๆ อย่างรุมเร้า เปรียบเสมือนนักสู้ที่ต้องรับมือกับปัญหาทั้งคู่แข่ง เทคโนโลยี ต้นทุนต่างๆ จนอาจทำให้ตกเป็นผู้แพ้มากกว่าผู้ชนะ เพราะฉะนั้น การเป็นนักลงทุน จะสามารถเลือกลงทุนกับผู้ชนะในธุรกิจ เท่ากับ คุณคว้าโอกาสเติบโตไปด้วยกันในอนาคตครับ
สำหรับกลยุทธ์การเลือกลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนแบบนี้ ขอย้ำว่า หัวใจการบริหารจัดการพอร์ตที่ดี คือ “กระจายความเสี่ยง”
ผมแนะนำอยู่เสมอถึงการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยคุณจะต้องมี Core Port หรือพอร์ตหลัก ที่กระจายความเสี่ยงครอบคลุม เพื่อให้สินทรัพย์ต่างๆที่ลงทุนค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคงจากนั้นจึงเริ่มมี Satellite Port หรือพอร์ตรอง ที่เป็นการลงทุนแบบมุ่งเน้นผลตอบแทนในประเทศหรือธุรกิจที่คุณสนใจ มีแนวโน้มเติบโตสูง
โดยการจัดสัดส่วนของทั้ง 2 พอร์ต คือ พอร์ตหลัก รักษาสัดส่วนไว้ที่ 80% ของพอร์ต เน้นการกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นทั่วโลกอย่างเช่น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว Global ETF ที่ผมจัดให้ลูกค้าเลือกลงทุน ส่วนพอร์ตรองมีสัดส่วน 20% โดยเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น หุ้นจีน ที่ถือว่ามูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หุ้นตลาดเกิดใหม่หรือทองคำ เป็นต้น
ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจ คือตัวคาดการณ์ตลาด (Market Prediction) ของ Jitta โดยใช้ AI วิเคราะห์เชิงลึกคัดกรองตัวหุ้น 50 อันดับแรกของแต่ละตลาดเพื่อดูว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ มีหุ้นถูกหรือแพงเป็นอย่างไร นักลงทุนควรลงทุนประเทศไหนบ้าง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นถูก 24 ตัว หุ้นแพง 26 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 0.92 เท่า
ตลาดตลาดญี่ปุ่น มีหุ้นถูก 39 ตัว หุ้นแพง 11 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 3.55 เท่า
ตลาดหุ้นจีน มีหุ้น 48 ตัวที่มีราคาถูก และอีกสองตัวมีราคาแพง เมื่อเปรียบเทียบจำนวนหุ้นถูกและแพงออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 24 เท่า
ตลาดหุ้นฮ่องกง มีหุ้นถูก 46 ตัว หุ้นแพง 4 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ประมาณ 11.5 เท่า
ตลาดหุ้นเวียดนาม มีหุ้นถูก 36 ตัว หุ้นแพง 14 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 2.57 เท่า
ซึ่งในสถานการณ์จริงๆ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ บางปีก็ขึ้นหรือลงไปในทิศทางเดียวกัน ในบางปีแต่ละตลาดจะขึ้นและลงสวนทางกันเอง ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมเวลานั้นๆ เพราะฉะนั้น การจะคาดการณ์ว่า ปีไหนตลาดไหนจะขึ้นหรือจะลง คงไม่ง่ายแน่ๆ บางครั้งถ้าเราทายถูกก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าเวลาทายผิดขึ้นมา ก็อาจจะขาดทุนหนักได้เช่นกัน
จากที่ผมได้ทำข้อมูลผลตอบแทนระยะยาวของดัชนีตลาดหุ้นย้อนหลัง 10 ปี ของ 6 ตลาด คือ ตลาดหุ้นจีน A-Share (CSI300 TR) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI TR) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX TRI) ตลาดหุ้นไทย (SET TRI) ตลาดหุ้นอเมริกา (S&P500 TRI) และตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI TR) ปรากฏว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 6 ตลาดนี้ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่เป็นบวกหมด โดยดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 13.10% ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงให้ผลตอบแทนต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.13% ต่อปี
หากลงทุนกระจายตลาดหุ้นทั้ง 6 ประเทศนี้ และใส่น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยเท่าๆกัน พบว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 7% ต่อปี สำหรับคนที่บอก “เลือกไม่ถูก” จะลงตลาดไหนดี หากใส่เงินกระจายเท่าๆ กัน ได้ผลตอบแทนค่าเฉลี่ย 7% เป็นจุดกึ่งกลาง แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว นี่คือ ผลลัพธ์ของการจัดพอร์ตกระจายลงทุน การได้รับผลตอบแทนแบบเฉลี่ยต่อปี สามารถตอบโจทย์นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือประเทศใดประเทศเดียวครับ
สำหรับนักลงทุนที่ยังมั่นใจในประเทศไทยและต้องการลงทุนหุ้นไทย ก็ควรจะอยู่แค่พอร์ต Satellite ให้น้ำหนักไม่มาก เนื่องจากถ้าเปรียบเทียบกับตลาดโลก เช่น จีน และเวียดนาม ยังน่าลงทุนกว่า หรือเพิ่มทองคำ ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและราคามักปรับขึ้นในยามที่โลกมีความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะยามเกิดสงครามต่างๆ
พร้อมกันนี้อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงที่ดี คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging: DCA) จะช่วยให้มีต้นทุนลงทุนที่ถูกกว่าการจับจังหวะตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลง เพราะไม่มีใครคาดได้ว่า จุดต่ำสุดอยู่ที่ระดับใด การลงทุน DCA จะช่วยให้สามารถฝ่าช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนไปได้ และเห็นผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพในระยะยาว
ผมฉายภาพทั้งหมดนี้ หวังว่าคุณน่าจะมองเห็น “ทุกวิกฤติเป็นโอกาส” และการเป็นนักเลือก “ของดีราคาถูก” และทำการบ้านหาข้อมูลการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่มเติมพร้อมกับประเมินระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อ “ ลงทุนต่อ” กันนะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอแจกคู่มือ (กล้า) ลงทุนของคุณปู่ Warren Buffett นักลงทุนตำนานโลก ได้บอกวิธีที่จะทำให้คุณรวย นั่นก็คือ “จงกลัวเวลาที่คนอื่นโลภ และจงโลภ เวลาที่คนอื่นกลัว”
ซึ่งก็คือ ในช่วงที่ตลาดถูกครอบงำด้วยความกลัวถึงขีดสุด อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่คุณจะมีความโลภขึ้นมาก็เป็นได้ หากคุณมีความเข้าใจและยึดมั่นในหลักการลงทุนที่ถูกต้องและเชื่อมั่นมากพอ ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นคู่มือความกล้าให้คุณคว้าโอกาสลงทุนได้ในยามที่คนอื่นวิ่งหนี
ขอให้คุณประสบความสำเร็จในจัดพอร์ตลงทุนฝ่าทุกสภาวะ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว หวังว่าคุณจะพบความสุขจากการลงทุนทุกสถานการณ์ครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดกลยุทธ์แก้พอร์ตหุ้นติดลบ ลดอาการติดดอย โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
- สหรัฐฯเล็งประกาศ อัตราภาษีราย "ภูมิภาค" หลังครบเส้นตาย 90 วัน
- ตอบโต้ทุ่มตลาด "จีน" ขึ้นภาษีพลาสติก สหรัฐฯ-ยุโรป-ญี่ปุ่น-ไต้หวัน
- จีนเลิกคุมส่งออก "แร่หายาก-เทคโนโลยีทหาร" หลังบรรลุดีลชั่วคราวสหรัฐฯ
- ถอยคนละก้าว เปิดเหตุผล การลดภาษี สหรัฐ-จีน