เปิดสูตรทำเงินฉบับ Jeff Bezos สู่การปั้นอาณาจักร Amazon จนมีเงินไหลเข้ากระเป๋าวันละหลายล้าน
กำลังเป็นข่าวที่ทั่วโลกให้ความสนใจ กับงานแต่งงานของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Amazon อย่าง Jeff Bezos อดีตบุคคลที่รวยที่สุดในโลก กับนักข่าวสาว Lauren Sanchez ที่กำลังจัดขึ้นในเวนิส ประเทศอิตาลี พร้อมกับเชิญแขกคนดัง ดารา นางแบบ เซเลบริตี้ระดับเอลิสต์กว่า 200 คนมาเข้าร่วมตลอดระยะเวลา 3 วันเต็ม ซึ่งมีการคาดไว้ว่า งบประมาณจัดงานทั้งหมดจะอยู่ที่ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,800 ล้านบาท) เลยทีเดียว
แต่งานแต่งกลับไม่ได้ราบรื่นในสายตาเจ้าของพื้นที่ เมื่อประชาชนชาวเวนิสหลายคนรวมกลุ่มขึ้นมาเพื่อประท้วงต่อต้านการเข้ามาเยือนอิตาลีของทั้ง Jeff Bezos และ Lauren Sanchez ตลอดจนแขกคนดังทั้งหลาย โดยคนในพื้นที่มองว่า 1% ที่เป็นคนรวยระดับมหาเศรษฐี ไม่ควรที่จะใช้เงินฟาด และรุกล้ำพื้นที่ ในขณะที่คนทั่วไปอีก 99% กำลังต้องเผชิญกับปัญหา อย่าง นักท่องเที่ยวล้นเมือง สภาพแวดล้อมถูกทำลายลงไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม งานแต่งของทั้งสองก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น และทาง Jeff Bezos และ Lauren Sanchez ก็ยังได้บริจาคเงินคนละ 1.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับสถาบันวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมในเวนิส เพื่อช่วยสนับสนุนการรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีของเมืองอีกด้วย
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จักกับ Jeff Bezos ให้มากขึ้น ว่าเขาทำยังไงถึงมายืนในจุดที่เป็นมหาเศรษฐีเบอร์ต้น ๆ ของโลก และแม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้ลงไปบริหารธุรกิจบางอย่างเองแล้ว แต่เขาทำยังไงให้มีเงินไหลเข้ากระเป๋าในทุก ๆ วัน วันละหลายล้าน
เริ่มต้นสร้าง “Amazon” ในโรงรถ
ย้อนกลับไปในปี 1964 ณ เมืองแอลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา “Jeffrey Preston Jorgensen” หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม Jeff Bezos เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์นัก โดยคุณแม่ Jacqueline ตอนนั้นอายุเพียง 17 ปี จึงทำให้ต้องแยกทางกับพ่อแท้ ๆ ตอนที่ Jeff ยังเป็นทารกแบเบาะ
จนต่อมาคุณแม่ Jacqueline ได้แต่งงานใหม่กับ Mike Bezos พร้อมกับรับ Jeff เป็นลูกบุญธรรม และก็ได้รับนามสกุลที่เรารู้จักกันดีมาใช้เป็น Jeff Bezos ในทุกวันนี้ ซึ่งในช่วงวัยเด็ก Jeff Bezos ก็ได้เห็นคุณพ่อบุญธรรมทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างฐานะให้ครอบครัว จนกลายเป็นโรลโมเดลของเขามาถึงตอนนี้
หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Princeton ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ Jeff Bezos ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานในสายการเงิน โดยไต่เต้าจนกลายเป็นรองประธานของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชื่อดัง “D.E. Shaw” ในวัยเพียง 26 ปี แต่ในปี 1994 เขากลับเลือกทิ้งเส้นทางที่มั่นคงเพื่อเริ่มธุรกิจของตัวเองจากการเห็นโอกาสในโลกอินเทอร์เน็ต
Jeff Bezos มีแนวคิดที่เรียกว่า “Regret Minimization Framework” หรือ “โมเดลลดความเสียใจในอนาคต” โดยจินตนาการว่าถ้าตัวเองอายุ 80 ปี แล้วมองกลับมา พร้อมถามตัวเองว่าจะเสียใจไหมหากพลาดโอกาสร่วมสร้างธุรกิจในยุคอินเทอร์เน็ตนี้ไป เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานสายการเงิน และย้ายไปซีแอตเทิลเพื่อเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ในโรงรถของบ้านเช่า
Jeff Bezos ก่อตั้งบริษัทในเดือนกรกฎาคม ปี 1994 โดยใช้ชื่อว่า “Cadabra” แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Amazon.com” ที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ขนาดมหึมาเหมือนแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และขึ้นต้นด้วยตัว A เพื่อให้อยู่ลำดับต้นในไดเรกทอรีออนไลน์
กลยุทธ์เริ่มต้นของเขาคือการขายหนังสือ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีจำนวนรายการมาก ราคาต่อหน่วยต่ำ และความต้องการสูงทั่วโลก ที่สำคัญยังเป็นสินค้าเหมาะสมสำหรับการสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าในการซื้อของออนไลน์ โดยทุนเริ่มต้นส่วนใหญ่มาจากเงินของ Jeff Bezos เองและของครอบครัว พร้อมด้วยเงินลงทุนจากนักลงทุน Angel อีกประมาณ 20 ราย คิดเป็นเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 1995-1996 ตอนนั้น
ความสำเร็จของธุรกิจที่ Jeff Bezos ก่อตั้ง ดำเนินมาเรื่อย ๆ จน Amazon ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1997 ด้วยราคา IPO ที่ 18 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น และสามารถระดมทุนได้ 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ Jeff Bezos ประกาศชัดตั้งแต่แรกว่า Amazon จะไม่เน้นผลกำไรระยะสั้นแบบที่นักลงทุนคาดหวัง เขาเลือกลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว กลยุทธ์นี้สวนทางกับตลาด และสร้างความไม่พอใจให้กับนักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตดอตคอมในช่วงปี 2000-2001 ที่หุ้น Amazon ร่วงหนัก จนบริษัทเกือบขาดสภาพคล่อง
ในช่วงวิกฤตฟองสบูดอตคอม Jeff Bezos ต้องทำการปลดพนักงานจำนวนมาก ตัดค่าใช้จ่าย และกู้เงินจากธนาคารกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อพยุงบริษัทที่เหลือเงินสดแค่ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนสุดท้ายสามารถพา Amazon รอดมาได้ และในไตรมาสที่ 4 ของปี 2001 นั้นบริษัทก็สามารถทำกำไรครั้งแรกได้ที่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะคิดเป็นเพียง 0.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แต่ก็ถือเป็นหลักชัยที่พิสูจน์ว่าโมเดลของเขาใช้งานได้จริง
แนวคิด “Flywheel Effect” ทำให้ Amazon โตไม่หยุด
หนึ่งในคอนเซปต์ที่ Jeff Bezos คิดค้นขึ้น และกลายเป็นหลักการประจำบริษัท คือ “Flywheel Effect” หรือวงล้อแห่งการเติบโต ที่เริ่มต้นจากการมอบประสบการณ์ลูกค้าให้ดีที่สุด
โดยคอนเซปต์นี้จะเริ่มจาก ราคาสินค้าที่ถูกกว่า + บริการจัดส่งที่เหนือกว่า → ลูกค้าประทับใจ → มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น → ดึงดูดผู้ขายมาร่วมแพลตฟอร์ม → เพิ่มจำนวนสินค้าบนเว็บไซต์ → เพิ่มความหลากหลายให้ลูกค้า → ลูกค้ากลับมาอีก → ธุรกิจโตขึ้น → ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น → ลดราคาสินค้าได้อีก → ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น → และวงล้อก็จะหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
การตัดสินใจ “ไม่ทำกำไร” ในช่วงแรกไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเร่งให้ Flywheel นี้หมุนแรงขึ้น ซึ่งกลายเป็นเครื่องจักรสำคัญของ Amazon ที่ทำให้คู่แข่งตามไม่ทัน
กลยุทธ์อดเปรี้ยวไว้กินหวานของ Jeff Bezos นี้ทำให้เขาติดอันดับ Forbes 400 ในปี 1998 หรือเพียง 1 ปีหลังจาก IPO ด้วยทรัพย์สินรวมกว่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นความมั่งคั่งของเขาทะยานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในปี 2018 ที่ได้กลายเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่มีทรัพย์สินทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เมื่อทรัพย์สินพุ่งทะลุ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Jeff Bezos ครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกระหว่างปี 2018-2021 แต่ในปี 2025 ลำดับของ Jeff Bezos ตกลงไปที่ 4 ด้วยความมั่งคั่งสุทธิกว่า 237,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามหลังเพียง Elon Musk, Larry Ellison และ Mark Zuckerberg
ช่องทางรายได้ของ Jeff Bezos
แม้ความมั่งคั่งของ Jeff Bezos จะมีรากฐานอยู่ที่ Amazon แต่โครงสร้างทรัพย์สินของเขานั้นซับซ้อนและมีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างมีกลยุทธ์ โดยเฉพาะการกระจายพอร์ตไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ทั้งด้านเทคโนโลยีอวกาศ สื่อ และนวัตกรรมแห่งอนาคตอย่าง AI และ Climate Tech
- หุ้น Amazon: เสาหลักของอาณาจักร
รากฐานความมั่งคั่งของ Jeff Bezos ยังคงมาจากการถือหุ้นใน Amazon ซึ่ง ณ ต้นปี 2025 เขาถือหุ้นอยู่ราว 10% หรือประมาณ 900 ล้านหุ้น และยังถือเป็นผู้ถือหุ้นรายบุคคลรายใหญ่ที่สุดของบริษัท แม้สัดส่วนจะลดลงจากเดิมราว 16% เนื่องจากการหย่าร้างกับ MacKenzie Scott ในปี 2019 ซึ่งเขาได้โอนหุ้นส่วนหนึ่งให้กับอดีตภรรยา
และแม้ว่าจะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัทในเดือนกรกฎาคม 2021 แต่ Jeff Bezos ยังคงดำรงตำแหน่ง “ประธานบริหาร” (Executive Chairman) ของบอร์ด Amazon อยู่ โดยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะยาวของบริษัท
อีกหนึ่งกลยุทธ์การเงินที่สำคัญของเขาคือ การทยอยขายหุ้น Amazon อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ Amazon เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1997 ทาง Jeff Bezos ได้ขายหุ้นไปแล้วมากกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่เชื่อมั่นในบริษัท แต่เป็นแผนสร้างกระแสเงินสด เพื่อไปลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ อย่าง Blue Origin และโครงการการกุศลในระยะยาว
- AWS: ขุมทรัพย์ตัวจริงของ Amazon
แม้ Amazon จะเป็นที่รู้จักในฐานะยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซ แต่ธุรกิจที่ทำกำไรได้จริงคือ Amazon Web Services (AWS) ที่เริ่มเปิดให้บริการในปี 2006 เกิดจากการต่อยอดเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาใช้กับเว็บไซต์ของตัวเอง
AWS เป็นเหมือน “เพชรเม็ดงาม” ของ Amazon โดยในไตรมาสแรกของปี 2025 แม้จะสร้างรายได้เพียง 19% ของรายได้รวม แต่กลับสร้างกำไรจากการดำเนินงานถึง 62% ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 39% ซึ่งสูงกว่าธุรกิจค้าปลีกที่มีมาร์จิ้นต่ำมาก
รายได้ของ AWS เติบโตแบบก้าวกระโดด จากประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาสในปี 2020 สู่เกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 หรือคิดเป็นรายได้รวมเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
นอกจากนี้ AWS ยังมีอิทธิพลทางอ้อมอย่างมหาศาล เพราะช่วยให้สตาร์ทอัพทั่วโลกเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีได้โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลในฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะโปรแกรม “AWS Activate” ที่มอบเครดิตและการสนับสนุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับสตาร์ทอัพทั่วโลก โดยมีมากถึง 80% ของสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นทั่วโลกที่ใช้บริการ AWS ซึ่งนี่คือโมเดลที่สร้างทั้งรายได้ และสร้างลูกค้าแห่งอนาคตให้กับ Amazon ไปในตัว
- Blue Origin: ธุรกิจอวกาศสานฝัน
Blue Origin ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 เป็นบริษัทด้านอวกาศที่ Jeff Bezos เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ มีพันธกิจใหญ่หลวงคือ “ทำให้มนุษย์สามารถอยู่อาศัยและทำงานในอวกาศได้เป็นล้านคน” โดยมีคติประจำบริษัทคือ Gradatim Ferociter (ก้าวทีละก้าว อย่างดุดัน) ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบอดทนแต่ไม่หยุดเดินหน้า
Blue Origin ได้รับเงินทุนเกือบทั้งหมดจาก Jeff Bezos โดยตรง ผ่านการขายหุ้น Amazon ปีละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาเคยบอกว่า “Blue Origin อาจกลายเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำ” โดยเป้าหมายสูงสุดคือการย้ายอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษออกไปสู่อวกาศ เพื่อรักษาโลกให้คนรุ่นต่อไป
โครงการสำคัญของ Blue Origin ได้แก่:
New Shepard: จรวดที่สามารถนำกลับมารียูสใช้ใหม่ได้ และเป็นจรวดสำหรับท่องเที่ยวอวกาศแบบ Suborbital หรือที่ทะลุชั้นบรรยากาศออกไปถึงอวกาศ แต่ไม่ได้ไปถึงวงโคจร ซึ่ง Jeff Bezos เองก็เคยขึ้นบินเองในปี 2021
New Glenn: จรวดขนาดใหญ่สำหรับส่งดาวเทียมและมนุษย์สู่วงโคจร
Blue Moon: ยานลงจอดบนดวงจันทร์ภายใต้โครงการ Artemis ของ NASA โดย Blue Origin ได้รับสัญญามูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างระบบลงจอดให้มนุษย์ในปี 2029
Orbital Reef: สถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ในอนาคต ร่วมพัฒนากับ Sierra Space และ Boeing
The Washington Post: ลงทุนสื่อเพื่ออิทธิพล
ในปี 2013 ทาง Jeff Bezos ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ The Washington Post พร้อมสื่อในเครือ ด้วยเงินสดกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการซื้อส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับ Amazon มีจุดประสงค์คือช่วยฟื้นฟูหนังสือพิมพ์เก่าแก่ที่กำลังขาดทุน
เขานำหลักคิด “Get Big Fast” แบบ Amazon มาใช้ โดยได้ลงทุนด้านเทคโนโลยี อย่างเช่น การพัฒนาระบบ Arc CMS และขยายทีมข่าวจาก 560 คนเป็นกว่า 1,000 คนภายในปี 2021 ส่งผลให้สำนักข่าวกลับมาทำกำไรได้ในปี 2016
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลัง Jeff Bezos เริ่มมีบทบาทในเชิงนโยบายมากขึ้น หลังจากที่หนังสือพิมพ์กลับมาขาดทุนในปี 2022 และยอดสมาชิกลดลง จนในปี 2024 ได้ตัดสินใจเลิกสนับสนุนผู้ลงสมัครประธานาธิบดี และเปลี่ยนแนวทางของบทความ Opinion ไปสู่การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เน้นไปที่การทำการตลาด จนทำให้บรรณาธิการลาออก และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าบทบาทของ Jeff Bezos อาจส่งผลต่อเสรีภาพของสื่อ
กรณีนี้จึงสะท้อนข้อถกเถียงเรื่อง เจ้าของสื่อระดับมหาเศรษฐีที่แม้จะช่วยประคับประคองธุรกิจสื่อให้รอดได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจในมือคนเพียงไม่กี่คน
- Bezos Expeditions: พอร์ตการลงทุนเปลี่ยนโลก
“Bezos Expeditions” คือบริษัท Family Office ที่ก่อตั้งในปี 2005 เพื่อบริหารการลงทุนส่วนตัวของ Jeff Bezos โดยจะครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีชีวภาพ, FinTech, AI และ Climate Tech โดยเน้นลงทุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นถึงระยะเติบโต
พอร์ตนี้มีการลงทุนระดับตำนาน อย่างเช่น การลงทุนใน Google มูลค่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 1998 และการลงทุนตั้งแต่แรกเริ่มใน Uber, Airbnb, Workday และอีกหลายบริษัทที่กลายเป็นยูนิคอร์น
โดยในช่วงหลังมานี้ Jeff Bezos มุ่งเป้าไปที่การลงทุนใน AI อย่างชัดเจน เช่น การลงทุนใน Perplexity (Search Engine สาย AI), Physical Intelligence (หุ่นยนต์), และ Toloka (AI Data Platform) ด้วยเม็ดเงินกว่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลยุทธ์ของ Jeff Bezos คือ “ลงทุนในธุรกิจที่เปลี่ยนโลกได้” โดยใช้ Amazon เป็นเหมือน “ธนาคารกลางส่วนตัว” ที่สร้างกระแสเงินสดไปสู่การพัฒนาอวกาศ การกุศล และนวัตกรรมแห่งอนาคต AWS ก็เป็นแหล่งสร้างสตาร์ทอัพที่กลายมาเป็นลูกค้าของตัวเอง ขณะที่ Washington Post คือสินทรัพย์ด้านอิทธิพล ซึ่งมีความสำคัญในโลกที่ Amazon และ Blue Origin ต้องพึ่งพากฎระเบียบและนโยบายสาธารณะอย่างยิ่ง
หลายปีที่ผ่านมา Jeff Bezos รับเงินเดือนจาก Amazon อย่างเป็นทางการเพียง 81,840 ดอลลาร์สหรัฐต่อปียืนพื้นมาตั้งแต่ปี 1998 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขายังได้รับค่าตอบแทนอื่น ๆ เพิ่มอีกมหาศาลในขณะรับตำแหน่ง ดังนั้น เมื่อพูดถึง “รายได้ต่อวัน” ของเขา จึงไม่ใช่เงินสดที่ได้เข้ากระเป๋า แต่คือการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะจากหุ้น Amazon ที่เขาถืออยู่ในสัดส่วนมหาศาล
เนื่องจากความมั่งคั่งของเขาผูกติดกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ความผันผวนของตลาดสามารถทำให้มูลค่าทรัพย์สินของ Jeff Bezos เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เป็นพันล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว ยกตัวอย่างเช่น หุ้น Amazon ที่เคยพุ่งขึ้น 11% ภายในวันเดียว ส่งผลให้ทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นถึง 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในทางกลับกัน ช่วงตลาดหุ้นตก ก็จะสูญเสียความมั่งค่าจากราคาหุ้นของบริษัทที่ร่วงเช่นกัน
แม้ตัวเลขเหล่านี้จะไม่ใช่ยอดเงินสดที่เข้ากระเป๋าจริง ๆ แต่การคำนวณเพื่อให้เห็นภาพ ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าระหว่างปี 2019-2020 ที่ Jeff Bezos มีรายได้เฉลี่ย 2,489 ดอลลาร์ต่อวินาที และจากส่วนแบ่งของกำไรขั้นต้นของ Amazon ระบุว่า Jeff Bezos มีรายได้โดยประมาณสูงถึง 85.1 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
หรืออย่างเมื่อต้นปี 2023 ที่ Jeff Bezos มีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ประมาณ 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนึ่งปีต่อมาทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 177,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 70,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปีเดียว ซึ่งตัวเลขนี้หมายความว่า เขามีรายได้เฉลี่ยเกือบ 8 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง ตลอดปีที่ผ่านมา
แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นเพียงภาพจำลอง แต่ก็ช่วยชี้ให้เห็นถึงขนาดของเครื่องจักรผลิตทรัพย์สินที่ Jeff Bezos ได้สร้างขึ้นอย่างน่าทึ่ง
ที่มา: Amazon, Forbes [1][2], Yahoo! Finance [1][2], Inc., Investopedia, ICTSD, Quartr, Crunchbase
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เปิดสูตรทำเงินฉบับ Jeff Bezos สู่การปั้นอาณาจักร Amazon จนมีเงินไหลเข้ากระเป๋าวันละหลายล้าน
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath