โอซาก้ามี ‘นัมบะพาร์ค’ ดุสิตธานีฯ ก็มี ‘สวนลอยฟ้า’ ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่รอชื่อเรียกทางการ ส.ค.นี้
เมื่อพูดถึง ‘สวนลอยฟ้า หรือ สวนบนดาดฟ้า’ (rooftop garden) ได้กลายเป็นจุดแลนด์มาร์กทางธรรมชาติที่หลายประเทศสนใจและพัฒนาอยู่ตลอด ส่วนหนึ่งเพราะผู้คนมีความโหยหาธรรมชาติมากขึ้น ส่วนในทางเศรษฐกิจก็สามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้ ปูทางให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศได้
ย้อนไป 6 ปี หรือปี 2562 โรงแรมดุสิตธานีแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ กว่า 50 ปีประกาศปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวโรงแรมแต่เป็นพื้นที่ทั้งหมดเพื่อทำเป็นโมเดล ‘Mixed-Use’ ภายใต้ชื่อ Dusit Central Park เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคใหม่มากที่สุด
ในโค้งสุดท้ายก่อนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยกำหนดไว้ในเดือนสิงหาคม 2568 โรงแรมดุสิตธานี และโครงการอื่นๆ ใน Dusit Central Park ได้เตรียมพร้อมเปิดรับคนไทยและชาวต่างชาติอย่างยิ่งใหญ่
[ สวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ]
‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง‘Roof Park’ โครงการที่ไม่ใช่แค่พื้นที่เชิงธุรกิจ แต่เป็นพื้นที่ heal zone ของคนกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวที่มาเยือน
พื้นที่สีเขียวราว 7 ไร่ (หรือ 11,200 ตารางเมตร) ครอบคลุมพื้นที่ชั้น 4 ต่อเนื่องถึงชั้น 7 ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจที่เชื่อมต่อองค์ประกอบทุกส่วนของโครงการ Dusit Central Park เข้าไว้ด้วยกัน จุดประสงค์ใหญ่ที่สุดคือ เป็นพื้นที่สีเขียวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม และยังคงมีกลิ่นอายเดิมของความเป็นดุสิตธานี แต่ก็ต้องมีความทันสมัย และสอดรับกับระบบนิเวศเดิมของเมือง
โจทย์ทั้งหมดที่แบกไว้ก็เพื่อตอบแทนสังคม ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อม เพิ่มออกซิเจนในอากาศให้คนกรุงเทพฯ โดยไม่ทำให้เสียทัศนียภาพของความเป็นเมืองไป
โดยดุสิตธานี ทำงานร่วมกับ บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้พัฒนา Dusit Central Park ภายใต้คอนเซ็ปต์ Here for Bangkok และผู้พัฒนา The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีที่ดีที่สุดใน Super Core CBD
“สวนลอยฟ้าแห่งนี้เราได้เลือกปลูกพันธุ์ไม้ที่ช่วยเพิ่มออกซิเจน ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดักจับและลดฝุ่น PM10 และ PM2.5 ลดอุณหภูมิลง 1-2 องศา และเพิ่มความชุ่มชื้นให้อากาศเย็นสบายด้วยน้ำตกที่กระจายตามจุดต่างๆ”
“ที่สำคัญคือ ต้นใหญ่พืชพันธุ์ต่างๆ ต้องเป็นของไทย อาจจะเป็นต้นไม้หายาก คนรุ่นใหม่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น สวนลอยฟ้าแห่งนี้จะเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับผู้เข้ามาเยือนด้วย”
“นอกจากนี้ ในสวนแห่งนี้จะมีแมลง เราจะทำให้เป็นสวนออร์แกนิก ดังนั้น อาจจะมีผีเสื้อ นก เต่าทอง ฯลฯ นั้นนี้ด้วย แต่แมงหรือสัตว์อื่นๆ ที่ไม่ควรอยู่ หรือเป็นอันตรายเราก็จะจัดการความเรียบร้อย และความปลอดภัยของแขกเช่นเดียวกัน สวนลอยฟ้าแห่งนี้อยากให้เป็นของขวัญเพื่อทุกคน”
‘ศุภจี’ ได้กล่าวด้วยว่า ดุสิตธานีได้วางเป้าหมายให้สวนลอยฟ้า สามารถให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายเพราะเชื่อมต่อทั้งจากระบบขนส่งมวลชน, รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง และรถไฟใต้ดิน MRT สถานีสีลม เทียบเคียงสวนสาธารณะระดับโลกอย่าง ‘Central Park’ ในมหานครนิวยอร์ก และ ‘Hyde Park’ ในกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานของทุกคนที่ตั้งอยู่บน Prime Location ใจกลางเมือง
ขณะที่‘ธัชพล สุนทราจารย์’กรรมการผู้จัดการ บริษัท Landscape Collaboration จำกัด ผู้ออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมของ Roof Park โครงการ Dusit Central Park เผยว่า เบื้องหลังการออกแบบพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ ได้นำเสนอมุมมองที่สร้างอัตลักษณ์ให้โครงการฯ และต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนเมืองต้องการด้วย
โดยผ่านแนวคิดทั้ง 3 เรื่องราว ได้แก่ 1) การสานต่อมรดกอันงดงาม (Heritage & Legacy) ของโรงแรมดุสิตธานี 2) การนำ Universal Design ผสานเข้า Inclusive Design for All มุ่งเน้นไปที่การออกแบบเพื่อคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง ทั้งการออกกำลังกาย, พักผ่อน หรือใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวและสัตว์เลี้ยง และ 3) Urban Sanctuary & Ecosystem เพื่อสร้างระบบนิเวศที่มีความเฉพาะตัวผ่านการเลือกสรรพันธุ์ไม้จากหลายกลุ่มมาผสมผสานกัน
โดยทีมงานได้นำเสนอมุมมองเพื่อสร้างระบบนิเวศควบคู่กับศึกษาวรรณคดีไทย เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณบุรี และ นิราศเมืองแกลง เพื่อให้เข้าใจถึงพันธุ์ไม้ไทยเดิม ต้นไม้ประจำถิ่น และไม้มงคล เช่น ‘มะกอกน้ำ’ ที่มาของชื่อ ‘บางกอก’ พร้อมทั้งคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่สามารถดักฝุ่นละออง และต้นไม้ที่เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงที่มีประโยชน์และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เป็นต้น
[ สวนลอยฟ้า ในบริบทของต่างประเทศ ]
บริบทที่ซ่อนอยู่ของหลายๆ ประเทศสำหรับ ‘สวนลอยฟ้า’ อย่างที่ญี่ปุ่น ที่มีสวนลอยฟ้าที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น ‘นัมบะพาร์ค’ สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่กลางเมืองโอซาก้า,สวนลอยฟ้าเมกุโระ ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของทางด่วนชุโตะ เป็นสวนรูปวงกลมที่มีต้นซากุระและต้นสนกว่าพันต้น, สวนลอยฟ้าอุเมดะสกายบิวดิ้ง ที่อยู่บนชั้น 39-40 ของอาคารอุเมดะสกายบิวดิ้ง ในเมืองโอซาก้า หรือ สวนลอยฟ้ามิยาชิตะ ที่ตั้งอยู่ในย่านชิบูย่า เป็นต้น
โดยญี่ปุ่นมองว่า สวนสาธารณะและสวนบนดาดฟ้า เพื่อบรรเทาความร้อนระอุที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นได้ โดยพื้นที่สีเขียวในประเทศยิ่งมีมากเท่าไหร่ ยิ่งลดสภาวะอากาศร้อนได้ากเท่านั้น
รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่า สวนลอยฟ้าเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าตามอาคารสูง สามารถเป็นได้ทั้งพื้นที่ใหญ่และเล็ก และนอกจากจะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศได้ ยังเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่กิจกรรม และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี
Administrator, Namba Park
สำหรับ ‘สวนนัมบะ’ มองว่ามีความใกล้เคียงกับสวนลอยฟ้าของดุสิตธานี ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2546 มีทั้งห้างสรรพสินค้า, สนามเด็กเล่น และพื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งหลายแห่ง แต่สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า กว่า 1 ล้านตารางฟุต หรือกว่า 58 ไร่ และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟนัมบะ
นอกจากญี่ปุ่น ในฝั่งของ ‘สิงคโปร์’ เองก็มี ‘CapitaSpring’ สวนลอยฟ้าบนตึกสูงชั้นที่ 51 ‘เกาหลีใต้’ ที่มี ‘Seoullo 7017’ เป็นสวนลอยฟ้าในกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศ
ต้องพูดว่า วิธีการพัฒนาพื้นที่ในเมืองของแต่ละประเทศ ที่มีประชากรอาศัยหนาแน่น ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออนาคตของมนุษยชาติ และการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างปฎิเสธไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราสร้างพื้นที่สีเขียวที่มีคุณภาพบนโครงสร้างเหล่านั้น นอกจากจะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดแรงกดดันของการพัฒนาเมืองต่อความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพภูมิอากาศได้อีกด้วย
และนี่คงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ ดุสิตธานีฯ คิดและวางแผนมาอย่างดีแล้ว