ถึงฤดูการจ้างงาน ‘ไม่ประจำ’ แล้ว! Jobsdb by SEEK เผยผลสำรวจ บริษัทจ้าง full-time ลดลง
ปัจจุบันตลาดแรงงานประเทศไทยอาจจะยังมีอัตราการว่างงานที่ไม่สูงมากนัก โดยอยู่ที่ราวๆ 1.0% หรือ 4.14 แสนคน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ แต่ผลสำรวจจากองค์กร บริษัทต่างๆ ในไทย กำลังเปลี่ยนไป โดยเริ่มจ้างงาน ‘ไม่ประจำ’ มากขึ้น เช่น ฟรีแลนซ์ หรือ สัญญาจ้าง
ผลสำรวจจาก Jobsdb by SEEK เปิดตัวรายงาน Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Reportประจำปี 2568 จากจำนวนผู้ประกอบการ 702 รายทั่วประเทศ ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ครอบคลุมตั้งแต่องค์กรขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม
โดยผลสำรวจพูดถึงแนวโน้มที่น่าสนใจ และกำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานในไทยตลอดทั้งปี 2568 นี้
[ บริษัทไทยยืดหยุ่นขึ้น จ้างงานไม่ประจำมากขึ้น ]
‘ดวงพร พรหมอ่อน’ กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEKได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มของตลาดแรงงานในไทยในช่วงปี 2567-2568 ว่า “หลังปี 2567 เป็นช่วงเวลาที่หลายองค์กรพยายามปรับโครงสร้างภายในเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับตัวเพื่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน”
“โดยผลสำรวจจะเห็นว่า พนักงานประจำแบบเต็มเวลาได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะในสายงานบัญชี, ทรัพยากรบุคคล, การตลาด, บริการลูกค้า และการผลิต อย่างไรก็ตาม รายงานของ HCB ปี 2568 ระบุว่า 53%ขององค์กรวางแผนจ้างพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง ในช่วงครึ่งปีแรก”
นัยยะจากรายงานของ HCB สะท้อนว่า การจ้างงานพนักงานประจำแม้ว่าอาจจะยังคงจ้างอยู่ แต่มีการชะลอตัว จำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่หากดูเปอร์เซนต์การจ้างงาน ‘ไม่ประจำ’ มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บริษัทที่ลดจํานวนพนักงานลงในปี 2567 คิดเป็น 25% ซึ่งเป็นพนักงานประจําแบบเต็มเวลามากที่สุดที่ 17% ขณะที่การเลิกจ้างพนักงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ 11% และพนักงานสัญญาจ้าง(แบบเต็มเวลา) 9% และพนักงานสัญญาจ้าง(แบบไม่เต็มเวลา) อยู่ที่ 8%
ในมุมของ ‘ดวงพร’ มองว่า การปรับโครงสร้างองค์กรในช่วงนี้ทำให้บริษัทพิจารณาการจ้างงานแบบไม่ประจำมากกว่า ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะค่าตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ
ข้อมูลที่ ดวงพร สรุปให้เกี่ยวกับการจ้างงานพนักงานไม่เต็มเวลา ก็คือ พนักงานแบบ Part-time Permanentในองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 100 คน เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 42% ส่วนพนักงานแบบ Contract Part-timeเพิ่มจาก 19% เป็น 28%
ขณะที่ 10 ตำแหน่งงานที่มีการลดจำนวนพนักงานแบบเต็มเวลามากที่สุด ในปี 2567 ดังนี้
- บัญชี 21%
- ธุรการและทรัพยากรบุคคล 18%
- บริการลูกค้า 13%
- งานการผลิต 13%
- งานขาย/พัฒนาธุรกิจ 13%
- ไอที 11%
- วิศวกรรม 11%
- สื่อและการโฆษณา 10%
- การตลาด/สร้างแบรนด์ 9%
10. ผู้บริหาร 8%
โดยให้เหตุผลการปรับลดจำนวนพนักงานประจำ มากที่สุด 82% ก็คือเพื่อ ‘ลดต้นทุน’ ตามด้วย ‘กังวลเรื่องเศรษฐกิจ’ ที่ชะลอตัวต่อเนื่อง 45% และปรับโครงสร้างบริษัท 37%
[ ปรับสวัสดิการเพื่อพนักงานมากขึ้น ]
ข่าวดีของการสำรวจครั้งนี้ก็คือ องคืกรเริ่มเปิดใจที่จะปรับสวัสดิการที่สอดคล้องกับความต้องการพนักงานมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะปรับคุณภาพชีวิตของพนักงานให้ดีขึ้น ทั้งทางกายและจิตใจ
โดยครั้งนี้บริษัทใหญ่มองว่า การมีสวัสดิการที่เกี่ยวกับจิตใจเป้นเรื่องจำเป็นที่จะเพิ่มเข้าไป เพราะการเจ็บป่วยไม่ใช่แค่ทางกาย แต่บางทีการที่สภาพจิตใจเป็นปัญหาก็สามารถกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้มาก
ในปี 2568 องค์กรมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสวัสดิการในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจขึ้น เช่น
- การเพิ่มวันลาพิเศษ (ลาวันเกิด, ลาของบิดาเพื่อดูแลบุตร, การลาดูแลครอบครัว เป็นต้น) ซึ่งเพิ่มขึ้น 15%
- มีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนความเป็นอยู่ของครอบครัวพนักงาน เช่น การจัดห้องให้นมบุตรในสถานที่ทำงาน และเบี้ยเลี้ยงด้านการศึกษา
นอกจากนี้ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและองค์กร เพื่ออย่างน้อยได้รู้ว่า สถานการณ์ภายในที่ทำงานเป็นอย่างไร พนักงานคิดเห็นอย่างไร หรือมีแนวโน้มที่มีพนักงานอยากจะลาออกมากน้อยแค่ไหน
ในด้านค่าตอบแทน 85% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า มีการปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อให้ทันกับภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่ 84% มีการจ่ายโบนัสเฉลี่ย 2 เดือน จากที่ 1.8 เดือนในปี 2567 เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของพนักงานในช่วงที่เศรษฐกิจยังซบเซา
[ เปิดเหตุผลที่บริษัทจะจ้างคนเพิ่ม และ AI กลายเป็นคุณสมบัติมองหา ]
ในรายงานของ HCB ปี 2568 ชี้ว่า ทักษะด้าน AI (เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์) ของผู้สมัครงาน กำลังกลายเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่องค์กรใช้พิจารณาในการจ้างงาน
โดย 65% ขององค์กรระบุว่ามีการพิจารณาทักษะ AI ในขั้นตอนสัมภาษณ์งาน และ 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าทักษะด้านนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงาน
ส่วนวิธีการประเมินทักษะ AI ของผู้สมัครมักอยู่ในรูปแบบของการสัมภาษณ์โดยตรง (51%), พิจารณาจาก portfolio (42%) และการใช้แบบทดสอบเฉพาะทาง (33%) ขึ้นอยู่กับหน้าที่งานของแต่ละตำแหน่ง และความจำเป็นที่ต้องใช้ขององค์กร
นอกจากนี้ ยังพบว่าในกระบวนการสรรหาพนักงาน กว่า 34% ขององค์กรเริ่มนำ AI มาใช้ในการเขียนประกาศงานและคัดกรองใบสมัครแล้ว ดังนั้น ทักษะเรื่อง AI จึงกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นทั้งสำหรับพนักงานในองค์กร และผู้สมัครงานในทุกสายอาชีพสำหรับปีนี้
สำหรับเหตุผลที่บริษัทต่างๆ ต้องการเพิ่มพนักงานในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ จากผลสำรวจช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 พบว่า
- เพื่อตอบโจทย์แผนการขยายธุรกิจมากที่สุด 75%
- บริษัทต้องการทักษะใหม่ หรือตำแหน่งใหม่ในองค์กร 40%
- เพื่อทดแทนพนักงานเก่าที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้าง 38%
- พยายามทำให้ธุรกิจอยู่รอด หรือคงอยู่ในขนาดเดิมที่เคยเป็น 8%
สิ่งที่ทาง Jobsdb แนะนำกลุ่มทักษะในตลาดแรงงานของไทยที่ควรต้องมีในปี 2568 แน่ๆ 3 เรื่องก็คือ AI ซึ่งเราได้อธิบายความสำคัญและมุมมองของบริษัทในไทยแล้ว
อย่างที่ 2 ก็คือ ‘ทักษะเรื่องข้อมูล’ ทุกข้อมูลที่บริษัทได้รับมีความจำเป็นต่อการเติบโตในอนาคต ดังนั้น พนักงานควรต้องมีความรู้พื้นฐานในด้านนี้ด้วย และสุดท้ายทักษะที่ 3 คือ ทักษะการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความสำคัญของเรื่องนี้ ยังเป็นสิ่งที่บริษัทยกให้เป็นสิ่งแรกๆ ที่สำคัญ รวมถึงในอนาคตด้วย