“สิ่งแวดล้อมที่สะอาดและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชน” ศาลสูงสุดยูเอ็นวินิจฉัย
ประสาท มีแต้ม
ในช่วงที่คนไทยเรากำลังจดจ่ออยู่กับข่าวเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ได้มีเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเกิดขึ้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือ ICJ) ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศาลสูงสุดในสังกัดขององค์การสหประชาชาติ นั่นคือ ในคดีนักศึกษากฎหมาย 27 คนของประเทศวานูอาตู ที่ได้ข้อสรุปว่า “สิ่งแวดล้อมที่สะอาดและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชน” ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางกฎหมายระหว่างประเทศครั้งประวัติศาสตร์
ผมรับรู้ข่าวนี้จากเว็บไซต์ EcoWatch ซึ่งผมเป็นสมาชิก หลังจากนั้นผมก็ค้นเจาะไปตามลิงก์ต่างๆ และได้สรุปสาระสำคัญบางส่วนเอาไว้ในภาพข้างล่างนี้ครับ
“รัฐต่างๆ ต้องจัดการกับเชื้อเพลิงฟอสซิล และหากไม่สามารถป้องกันความเสียหายต่อสภาพภูมิอากาศได้ อาจถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชย” คือประโยคแรกที่รายงานใน The Guardian เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดครั้งที่ 2 หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงการปะทะก็รุนแรงเกือบตลอดแนวชายแดน กลบข่าวอื่นๆ รวมทั้งข่าว “สีกากอล์ฟกับพระสงฆ์ระดับสูง” ที่ยึดครองพื้นที่ข่าวมานานร่วมเดือนก่อนนั้น
เรียนตามตรงว่า ผมเองไม่ค่อยสันทัดในเรื่องศาลและกฎหมาย จึงได้สืบค้นจากเว็บไซต์ของกลุ่ม Pacific Islands Students Fighting Climate Change (PISFCC) ได้ความว่า ICJ คือศาลสูงสุดในระบบกฎหมายระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นภายใต้กฎบัตรแห่งสหประชาชาติ มีเขตอำนาจ 2 ประเภท คือ (หนึ่ง) เขตอำนาจด้านข้อพิพาท (contentious jurisdiction) ซึ่งใช้ในการพิจารณาคดีที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ฟ้องร้องกันเพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างรัฐ และ (สอง) เขตอำนาจให้คำปรึกษา (advisory jurisdiction) ซึ่งเป็นการให้ความเห็นทางกฎหมาย (advisory opinion) แก่องค์การสหประชาชาติหรือองค์กรเฉพาะทางของสหประชาชาติ เมื่อมีการร้องขอคำแนะนำทางกฎหมายจากศาลนี้ คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจที่สองครับ
เมื่อได้ความรู้ดังกล่าว ผมจึงได้ตั้งคำถามกับ AI ว่า เขตอำนาจให้คำปรึกษาจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบังคับหรือลงโทษใครไม่ได้ เพื่อนใหม่ของผมตอบว่า “แม้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายแบบคำตัดสินในคดีพิพาทระหว่างรัฐ แต่คำวินิจฉัยเชิงปรึกษานั้นมี “น้ำหนักทางกฎหมายและการเมืองสูงมาก” และมีประโยชน์หลายประการ เช่น (1) เป็นแนวทางตีความกฎหมายระหว่างประเทศ (2) เพิ่มแรงกดดันทางการเมือง และ (3) ใช้เป็นพื้นฐานพัฒนาอนุสัญญาหรือกฎหมายใหม่
เว็บไซต์ของ PISFCC ได้ยกเอาความเห็นของ ศาสตราจารย์ฟิลิป แซนด์
“มีน้ำหนักทางกฎหมายและคุณธรรมสูงมาก มักถูกใช้เป็นเครื่องมือของการทูตเชิงป้องกัน และมีบทบาทในการธำรงสันติภาพ ทั้งยังช่วยชี้แจงและพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ และส่งเสริมความสัมพันธ์อันสันติระหว่างรัฐ”
ทุกท่านคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่า เรื่องนี้ถือเป็นข่าวดีที่มีความสำคัญมาก เรามาดูรายละเอียดกัน
คำวินิจฉัยดังกล่าวมีความยาว 133 หน้า เกิดขึ้นในห้องพิจารณาซึ่งแน่นขนัดไปด้วยผู้ฟัง ณ พระราชวังสันติภาพที่กรุงเฮก ประธานศาลเป็นชาวญี่ปุ่น (ชื่อยูจิ อิวาซาวะ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมื่อ ค.ศ. 2018 โดยมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และเคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติด้วย) ได้กล่าวว่า “ภาวะล่มสลายของภูมิอากาศก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางต่อระบบนิเวศธรรมชาติและประชาชน ผลกระทบเหล่านี้เน้นย้ำถึงภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ที่เร่งด่วนอย่างยิ่ง”
คำวินิจฉัยอย่างเป็นเอกฉันท์ฉบับนี้ครอบคลุมประเด็นหลากหลายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โดยระบุว่า รัฐต่างๆ ต้องรับผิดชอบต่อกิจกรรมทุกประเภทที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบภูมิอากาศ และได้ชี้เป้าอย่างชัดเจนไปที่เชื้อเพลิงฟอสซิล
เอกสารระบุว่า การที่รัฐไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสมในการปกป้องระบบภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นผ่านการผลิตและบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิล การออกใบอนุญาตสำรวจเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล “อาจถือเป็นการกระทำผิดระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถถือว่าเป็นความรับผิดของรัฐนั้นได้”
นักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศและตัวแทนจากประเทศที่เปราะบาง รู้สึกยินดีอย่างยิ่งกับผลการตัดสินครั้งนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศวานูอาตู ราล์ฟ เรเกนวานู (Ralph Regenvanu) กล่าวหน้าศาลว่า นี่คือ“จุดเปลี่ยนสำคัญของความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ มันยืนยันในสิ่งที่ประเทศที่เปราะบางได้กล่าวและรับรู้มาอย่างยาวนาน”
รัฐมนตรีท่านนี้กล่าวต่อไปว่า เอกสารคำวินิจฉัยฉบับนี้จะกลายเป็น“เครื่องมือสำคัญในการเจรจาเรื่องภูมิอากาศในอนาคต และน่าจะกระตุ้นให้เกิดคดีฟ้องร้องใหม่ๆ ตามมา”
คราวนี้มาดูความรู้สึกของผู้นำองค์กร PISFCC และเครือข่ายกันบ้าง
เริ่มต้นจากผู้อำนวยการ Vishal Prasad (อายุ 29 ปีมีนามสกุลเหมือนกับชื่อผมเลย) ด้วยความประทับใจในข้อความที่มีวิสัยทัศน์ สั้นและกินใจ ผมจึงเสนอด้วยภาพประกอบอีกครั้งหนึ่งครับ
“วันนี้ประเทศเล็กที่สุดในโลกได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นแล้ว คำวินิจฉัยของ ICJ ได้พาเราเข้าใกล้โลกที่รัฐบาลไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อหน้าที่ตามกฎหมายได้อีกต่อไป มันยืนยันความจริงที่เรียบง่ายของความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ: ผู้ที่มีส่วนก่อวิกฤติน้อยที่สุดสมควรได้รับการคุ้มครอง การเยียวยา และในอนาคต คำวินิจฉัยนี้คือเส้นชีวิตของชุมชนในแปซิฟิกซึ่งอยู่แนวหน้า”
“ช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นว่าคนหนุ่มสาวและชุมชนในโลกใต้ (Global South) มีพลังในการกำหนดกฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องความยุติธรรมจากความเสียหายที่เกิดขึ้น” Nicole Ponce, ผู้นำด้านการผลักดันระดับโลก, World’s Youth for Climate Justice
“ศาลระหว่างประเทศทั่วโลกได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า ต้องป้องกันความเสียหายจากวิกฤติภูมิอากาศ และหากเกิดความเสียหายขึ้น ต้องมีการชดใช้ คำวินิจฉัยที่สอดคล้องกันจากศาลเหล่านี้สะท้อนความเข้าใจร่วมกันว่า วิกฤติภูมิอากาศเป็นภัยต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ฉันทามติดังกล่าวเสริมรากฐานให้การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยาน และเป็นอำนาจชี้นำแก่รัฐบาลทั่วโลกในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” Jule Schnakenberg, ผู้อำนวยการบริหาร, World’s Youth for Climate Justice
“รัฐเกาะแปซิฟิก นักศึกษา ขบวนการเยาวชน และเสียงส่วนใหญ่ของโลกที่ร่วมกันสนับสนุน ได้มอบบทเรียนชั้นยอดแก่โลกในเรื่องการเรียกร้องความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศ วันนี้คือชัยชนะของประชาชนเหนือผู้ก่อมลพิษ ในการยืนยันว่า ผู้ที่เรียกร้องให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และให้ผู้ก่อมลพิษจ่าย ต้องถือว่ากฎหมายอยู่ข้างพวกเขา คำวินิจฉัยของ ICJ จึงเป็นเวทีเริ่มต้นสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยาน และกลไกความรับผิดชอบที่ได้ผล” Nikki Reisch, ผู้อำนวยการโครงการภูมิอากาศและพลังงาน, Center for International Environmental Law
แม้ว่าความเห็นที่ปรึกษาของศาลจะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายโดยตรง แต่ก็ถือว่ามีน้ำหนักอย่างสูง เพราะเป็นการสรุปกฎหมายที่มีอยู่ มิใช่การบัญญัติกฎหมายใหม่ ฮาร์จ นารุลลา (Harj Narulla) ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านการฟ้องร้องเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับหมู่เกาะโซโลมอนในคดีนี้ กล่าวว่า ICJ ได้วางกรอบความเป็นไปได้ในการฟ้องร้องประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากให้รับผิดชอบสำเร็จ
จากเอกสารรายงานสรุปรายวัน (daily debrief) ขององค์กรเครือข่าย (ยาว 8 หน้า ในภาพข้างต้น) ได้สรุปคำวินิจฉัยไว้ 7 ข้อ ดังนี้
- เป็นความก้าวหน้าทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ ความเห็นที่ปรึกษาของศาลในวันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในกฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยให้ความชัดเจนทางกฎหมายอย่างไม่เคยมีมาก่อนเกี่ยวกับพันธกรณีของรัฐ คำวินิจฉัยได้รับการเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากผู้พิพากษาทั้ง 15 คน อาศัยบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน ทำให้มีน้ำหนักอย่างไร้ข้อกังขา ศาลได้วางแนวทางที่ชัดเจนในการถือว่าผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ ไม่จำกัดแค่สนธิสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งระบุสิทธิในการได้รับการเยียวยาและชดใช้อย่างชัดเจน
- ไม่เหลือข้ออ้างให้ผู้ก่อมลพิษอีกต่อไป แม้ผู้ก่อมลพิษพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ แต่ศาลก็ปฏิเสธข้ออ้างทางกฎหมายทุกประการ และยืนยันหลักความจริงพื้นฐานที่ว่า กฎหมายมีผลต่อทุกคน และผู้ที่จงใจทำร้ายอาณาเขตของรัฐอื่น จะต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน เป็นครั้งแรกที่เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นหัวข้อที่ถูกเลี่ยงไม่พูดถึงในการเจรจาระหว่างรัฐบาลมายาวนาน ถูกกล่าวถึงโดยตรง ศาลระบุชัดว่า การไม่ยุติการผลิต การบริโภค และการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสิ่งที่ไม่อาจป้องกันได้
- ความชัดเจนทางกฎหมาย จุดประกายการดำเนินคดี คำวินิจฉัยนี้ช่วยเพิ่มความชัดเจนและพลังให้กับเครื่องมือทางกฎหมายในการถือผู้กระทำผิดรับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยเสริมคดีด้านสภาพภูมิอากาศที่อยู่ระหว่างการพิจารณา และจุดประกายคดีใหม่ๆ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและการชดใช้จากความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติภูมิอากาศ
- จุดเปลี่ยนของธรรมาภิบาลด้านภูมิอากาศโลก รัฐบาลต่างๆ ต้องลงมืออย่างจริงจัง การประชุม COP30 และเวทีพหุภาคีที่จะมาถึง เป็นโอกาสสำคัญในการตั้งหลักใหม่ให้กับระบบธรรมาภิบาลด้านภูมิอากาศ บนฐานของความยุติธรรม ความรับผิดชอบ และการเยียวยา
- ยืนยันสิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้พิพากษาทั้ง 15 คนใช้โอกาสนี้ยืนยันว่า สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน และเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อีกมากมาย
- ชัยชนะของคนเล็กสู้คนใหญ่ กฎหมายได้ยืนเคียงข้างผู้ที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่เริ่มต้นจากความริเริ่มของนักเรียนในแปซิฟิก กลับกลายเป็นแรงสะเทือนทางกฎหมายระดับโลก เป็นยุคใหม่ของพลังทางกฎหมายในมือของประชาชนและชุมชนที่อยู่แนวหน้า
- ชัยชนะของพวกเราทุกคน นี่ไม่ใช่แค่ชัยชนะของวานูอาตูหรือนักเรียนแปซิฟิกเท่านั้น แต่เป็นชัยชนะของทุกคนที่ต้องเผชิญผลกระทบจากความล้มเหลวด้านภูมิอากาศและพฤติกรรมประมาทของบริษัทขนาดใหญ่
แม้ว่าคดีนี้จะเป็นชัยชนะของพวกเราทุกคน แต่ผมเห็นว่าเป็นแค่ชัยชนะเบื้องต้นเท่านั้น หน้าที่ของพลเมืองอย่างเรา ทุกคนต้องร่วมกันผลักดันให้รัฐบาลไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ทันที และต่อเนื่องด้วยครับ