บอร์ดสปสช.เคาะยืดหยุ่นดูแล 'ผู้ป่วยชายแดนไทย-กัมพูชา/น้ำท่วมภาคเหนือ'
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 8/2568 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการดำเนินการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน ไทย -กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังและกลุ่มผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องเร่งให้การดูแลโดยเร็ว ซึ่งจากข้อมูลได้รับรายงานที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ป่วยได้รับผลกระทบแล้วจำนวน 9,119 ราย แยกเป็น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจำนวน 1,803 ราย และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 7,316 ราย ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
บอร์ดเคาะแนวทางรับบริการที่ยืดหยุ่น
“ในการประชุมบอร์ด สปสช. จึงได้เห็นชอบและสนับสนุนการปรับแนวทางการเข้ารับบริการที่ยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) สามารถใช้สิทธิเข้ารับบริการในหน่วยบริการอื่นได้ทันที หากหน่วยบริการประจำไม่สามารถให้บริการได้”นายสมศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติมาตรการพิเศษสำหรับการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องล้างไตผ่านช่องท้อง โดย ให้ สปสช. เขตประสานงานกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณด) เพื่อเพิ่มการจัดส่งน้ำยาล้างไตสำรอง (Buffer) ไปยังหน่วยบริการที่อยู่ใกล้กับที่พักของผู้ที่ต้องอพยพ และเตรียมแผนรองรับการจัดส่งในเดือนถัดไปหากผู้ป่วยยังไม่สามารถกลับภูมิลำเนาได้ อย่างไรก็ดีในที่ประชุมบอร์ด สปสช. ยังเป็นห่วงในเรื่องสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นขอให้ประสานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานในพื้นที่ติดตามดูแล
แนวทางการเข้ารับบริการภาวะฉุกเฉิน
ด้านนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการเข้ารับบริการและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าบริการสาธารณสุขในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินฯ ที่บอร์ด สปสช. รับทราบมีรายละเอียด ดังนี้
การเข้ารับบริการของผู้มีสิทธิบัตรทอง ในกรณีผู้มีสิทธิบัตรทองไม่สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการประจำได้ เนื่องจากหน่วยบริการปิดหรือต้องอพยพ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการอื่นได้ทั้งในและนอกจังหวัด โดยหน่วยบริการที่ให้การรักษาสามารถเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการได้ตามหลักเกณฑ์
ส่วนการให้บริการด้านยาและเวชภัณฑ์ ตามประกาศสำนักงานฯ เกี่ยวกับการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ในกรณีของผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาต่อเนื่องและมีความจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนยาตามความเหมาะสม ให้หน่วยบริการสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามข้อตกลงในระดับพื้นที่ได้
การดูแลผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม กรณีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกเลือด หากต้องไปรับบริการฟอกไตในพื้นที่ปลอดภัย หน่วยบริการฟอกไตที่รองรับสามารถเพิ่มจำนวนการให้บริการได้เกินกว่าที่สปสช. กำหนดได้ โดยแจ้งข้อมูลศักยภาพการให้บริการไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณา ส่วนผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงสิทธิบัตรทองที่ไม่สามารถเข้ารับบริการตามแผนงานฯ
การดูแลรายบุคคลเดิมภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น (กปท.) สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่หน่วยบริการอื่น โดยให้หน่วยบริการรับค่าใช้จ่ายฯ จากสำนักงานฯ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขในแต่ละประเภทบริการที่เข้ารับการดูแลรักษา ในแต่ละประเภทบริการ
การประสานงานและการสนับสนุน โดย อปท. สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจกรรมในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้ โดยถือเป็นกรณีภัยพิบัติตามความจำเป็น รวมถึงการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ การสนับสนุนผ้าอ้อมและแผ่นรองซับขับถ่าย โดยเป็นไปตามประกาศหลักเกณฑ์ฯ กปท.
ในส่วนการแสดงตนยืนยันสิทธิเมื่อสิ้นสุดการรับบริการ ให้หน่วยบริการใช้วิธีการยืนยันตัวตนโดยคำนึงถึงความสะดวกและความจำเป็นของผู้รับบริการ หากมีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจดำเนินการได้ ให้แจ้งเหตุความไม่สะดวกในการดำเนินการเป็นรายกรณี สำหรับการติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อผ่าน สปสช. เขต หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ในพื้นที่จังหวัด
ผู้ป่วยที่ผลกระทบจากภาวะฉุกเฉิน
สำหรับข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากสถานณ์ภาวะฉุกเฉิน แยกเขตพื้นที่ดังนี้ พื้นที่เขต 1 เชียงใหม่ ซึ่งเกิดสถานการณ์อุทกภัย มีรายงานผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ จ.น่าน จำนวน 305 ราย จ.พะเยา จำนวน 161 ราย จ.แพร่ จำนวน 203 ราย และ จ.เชียงราย จำนวน 253 ราย โดยในส่วนผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงนั้น ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของแต่ละพื้นที่สามารถบริหารจัดการได้ทำให้ไม่มีผลกระทบ
ในพื้นที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดความไม่สงบมาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น ในพื้นที่เขต 6 ระยอง มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวน 273 ราย โดยแยกข้อมูลรายจังหวัด ที่ จ.สระแก้ว มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 63 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 16 ราย, จ.จันทบุรี มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 76 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 47 ราย และตราด มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 17 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพง จำนวน 54 ราย
ส่วนพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 7,643 ราย โดย จ.สุรินทร์ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 478 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 4,968 ราย และ จ.บุรีรัมย์ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 133 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 2,064 ราย และพื้นที่เขต 10 อุบลราชธานี มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 52 ราย ผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 49 ราย และ จ. ศรีษะเกษ มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้รับผลกระทบ จำนวน 62 ราย ผู้มีภาวะพึงพิง จำนวน 118 ราย