คนไทย ดื่มกาแฟเฉลี่ยปีละ 340 แก้ว พณ.เผยยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่พุ่ง ชี้มีโอกาสโตได้อีกมาก
คนไทย ติดดื่มกาแฟ เฉลี่ยปีละ 340 แก้ว พณ.เผยยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่พุ่ง มิ.ย.เพิ่มอีก 8.9%
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า อุตสาหกรรมกาแฟในไทย เติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดกาแฟโลกปี 2567 มีมูลค่า 2.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดภายในปี 2573 มีมูลค่าพุ่งถึง 3.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะคนไทยบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมเฉลี่ย 180 แก้ว/คน/ปี รวมเป็นกว่า 340 แก้ว/คน/ปี ส่งผลให้มูลค่าการตลาดในไทยปี 2568 แตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 8.33% ประกอบกับผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มกาแฟสำเร็จรูปไปสู่กาแฟสด สะท้อนถึงรสนิยมของคนยุคใหม่ที่ต้องการดื่มด่ำคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์ของกาแฟที่สูงขึ้น
สำหรับนิติบุคคลในอุตสาหกรรมกาแฟสามารถ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผลิต (การผลิตกาแฟ และการผลิตเครื่องดื่มกาแฟ) และ 2.กลุ่มขายส่ง/ปลีก (ขายส่งกาแฟชาโกโก้, ขายปลีก/ส่งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และบริการเครื่องดื่มที่ไม่มีแอกอฮอล์เป็นหลักในร้าน) จากข้อมูลของกรม พบว่า มีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 6,361 ราย (กลุ่มผลิต 811 ราย และ กลุ่มขาย 5,550 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 39,329 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 10,562 ล้านบาท และกลุ่มขาย 28,767 ล้านบาท) ธุรกิจส่วนใหญ่จัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัด 4,986 ราย (กลุ่มผลิต 691 ราย และกลุ่มขาย 4,295 ราย) คิดเป็น 78.39% ของนิติบุคคลในธุรกิจนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญ 1,371 ราย (กลุ่มผลิต 120 ราย และกลุ่มขาย 1,251 ราย) และบริษัทมหาชน จำกัด 4 ราย (กลุ่มขาย 4 ราย) หากแยกตามขนาดของธุรกิจพบว่า ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 6,105 ราย (กลุ่มผลิต 780 ราย และกลุ่มขาย 5,325 ราย) รองลงมาเป็นขนาดกลาง (M) 188 ราย (กลุ่มผลิต 22 ราย และกลุ่มขาย 166 ราย) และขนาดใหญ่ 68 ราย (กลุ่มผลิต 9 ราย และกลุ่มขาย 59 ราย)
สำหรับช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟจำนวน 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก และกว่า 33% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สะท้อนความนิยมในตลาดกาแฟที่ยังมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี พบว่า รายได้รวมของอุตสาหกรรมอยู่ในระดับทรงตัว แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของต้นทุนและการแข่งขันที่รุนแรง โดยรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟในปี 2567 อยู่ที่ 206,751 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566
เมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึกในรูปแบบธุรกิจร้านกาแฟจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1.Franchise/Chains เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ และเป็นทางเลือกของผู้ที่อยากเปิดร้านกาแฟแต่ยังไม่มีประสบการณ์ และ2.Independent เป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 94.4% ของธุรกิจกาแฟในประเทศ โดยเป็นการบริหารธุรกิจโดยเจ้าของร้านเองอาจมีสาขาในแบรนด์ประมาณ 1-3 สาขา อาทิ Stand Alone, Truck และ Kiosk จากข้อมูลพบว่า ธุรกิจร้านกาแฟแบบ Franchise/Chain มีความสามารถในการทำกำไรได้ดี โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เฉลี่ยที่ 17.5% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ส่วนร้านกาแฟแบบ Independent แม้จะมีภาพลักษณ์และคุณภาพโดดเด่น แต่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 4.6% สะท้อนความท้าทายในการแข่งขันที่มีผู้เล่นในกลุ่มนี้จำนวนมาก การรักษาฐานลูกค้าและการสร้าง Story ให้ธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจกลุ่มนี้ต้องใส่ใจ
กรมได้วิเคราะห์เจาะลึกในกลุ่มตัวอย่าง 20 บริษัทที่ประกอบธุรกิจร้านกาแฟและมีความสามารถในการทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) สูงที่สุดใน 3 อันดับแรก คือ (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.68) 1) กลุ่ม Franchise/Chains (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากเชนร้านกาแฟชื่อดังในไทย) ได้แก่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Cafe Amazon (4,922 สาขา) สร้างรายได้ 23,167 ล้านบาท กำไร 5,989 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 25.85% (รายได้และกำไรคำนวณจากรายงานประจำปีของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)), บริษัท หนึ่งต่อสอง จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ 1:2 Coffee (54 สาขา) สร้างรายได้ 290 ล้านบาท กำไร 49 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 16.82% และบริษัทกาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์พันธุ์ไทย (1,347 สาขา) สร้างรายได้ 3,049 ล้านบาท กำไร 292 ล้านบาท และ 2) กลุ่ม Independent (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจาก ร้าน Specialty Coffee ชื่อดัง และมีบาริสต้าได้รับรางวัล) ได้แก่ บริษัท นานา แอนด์ แฟรนด์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ NANA Coffee Roaster สร้างรายได้ 44 ล้านบาท กำไร 4 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 9.29%, บริษัท บาริสต้า โปรเจกต์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Factory Coffee สร้างรายได้ 70 ล้านบาท กำไร 6 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 8.75% และบริษัท คูราสุ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Kurasu Bangkok สร้างรายได้ 3 ล้านบาท กำไร 0.2 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 6.32% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ธุรกิจกาแฟยังมีโอกาสเติบโตในประเทศไทยอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee และร้านกาแฟที่สร้างประสบการณ์ รวมถึงสร้างแบรนด์ที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี ควบคู่ไปกับการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพ ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน มากไปกว่านั้นตัวช่วยด้านเทคโนโลยีจะทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านกาแฟได้มากขึ้นคือ ร้านจะต้องมีหลายช่องทางการสั่งซื้อทั้งหน้าร้าน หรือเดลิเวอรี่ หรือการสั่งล่วงหน้าผ่านแอพพลิเคชั่น รวมถึงการชำระเงินทางดิจิทัล จากสถิติปัจจุบันยอดขายของร้านกาแฟมาจากช่องทางเดลิเวอรี่ถึง 22% และชำระเงินผ่านระบบ e-Payment กว่า 50% ทำให้ร้านสามารถขายกาแฟได้ครอบคลุมลูกค้ามากขึ้น และไม่ได้จำกัดฐานลูกค้าแค่เพียงพื้นที่โดยรอบต่อไปอีกแล้ว กรมจะยังคงติดตามแนวโน้มอุตสาหกรรมกาแฟอย่างใกล้ชิด และพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับธุรกิจอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คนไทย ดื่มกาแฟเฉลี่ยปีละ 340 แก้ว พณ.เผยยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่พุ่ง ชี้มีโอกาสโตได้อีกมาก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th