โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

DSI เรียกสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. เพิ่ม 5 ราย รวม 12 ราย

สำนักข่าวไทย Online

อัพเดต 7 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.40 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมท

ดีเอสไอ 7 ก.ค. – ดีเอสไอ เรียกสอบพยานคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. เพิ่ม 5 ราย รวม 12 ราย ขยายผลเส้นเงินโยงขบวนการฮั้ว สว.

นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวถึงความคืบหน้าหมายเรียกพยานกลุ่มแรก จำนวน 7 ราย ในคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เนื่องด้วยปรากฏเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับขบวนการจัดฮั้ว สว. มีการโอนเงินในลักษณะเครือข่ายที่มีการจ้างผู้สมัครใน 3 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ลำพูน และหนองบัวลำภู พบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวพันกับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 24 จังหวัด ที่คณะพนักงานสอบสวนได้เชิญมาให้ปากคำชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงิน ปัจจุบันมีพยานเข้ามาให้ปากคำแล้ว 3 ราย ซึ่งวันนี้จริงๆ แล้ว พนักงานสอบสวนได้นัดหมายพยานไว้ 1 ราย แต่เจ้าตัวไม่ได้เดินทางเข้าพบตามนัดหมาย และไม่ได้มีการแจ้งเลื่อนแต่อย่างใด จึงทำให้พนักงานสอบสวนจะต้องมีการออกหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 ส่วนถ้าหากยังไม่เข้าพบในหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องขอศาลออกหมายจับ แต่พนักงานสอบสวนต้องดูว่าปัญหาคืออะไร เหตุใดพยานจึงไม่ได้รับหมายเชิญเข้าให้ปากคำ อาจเป็นปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยทะเบียนบ้านที่ไม่ตรงกับที่อยู่อาศัยในปัจจุบันหรือไม่ หรือไปรษณีย์มีการตีกลับเอกสารหรือไม่อย่างไร ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องไปตรวจสอบเรื่องที่อยู่ของพยานอีกครั้ง ส่วนอีก 3 รายที่เหลือ จะมีการทยอยเข้าให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) และในวันที่ 9 ก.ค. ตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ผลการให้ปากคำของพยานทั้ง 3 รายแรก ไม่ได้เป็นการปฏิเสธไปทั้งหมด แต่ก็เป็นทำนองชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงินว่าเส้นทางการเงินที่พนักงานสอบสวนได้สอบถามนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่พยานก็ยืนยันว่าเป็นการโอนเงินจริง และเป็นธุรกรรมที่ทำปกติอยู่แล้ว แม้จะเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับช่วงเลือก สว. ก็ตาม

นายระวี เผยอีกว่า ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนยังได้ออกหมายเรียกพยานเพิ่มเติมอีก 5 ราย เพื่อให้เข้ามาชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงิน ซึ่งการออกหมายเรียกพยานนั้น พนักงานสอบสวนจะทยอยออกหมายเรียกทุกวันแน่นอน ไม่ได้มีการจำกัดว่าหนึ่งลอตจะต้องเชิญกี่ราย แต่พนักงานสอบสวนต้องดูไปตามความเกี่ยวข้องจากพยานหลักฐาน อย่างไรก็ดี พยานกลุ่มสอง จำนวน 5 รายนี้ ล้วนมีพฤติการณ์คล้ายกับพยานกลุ่มแรก คือ มีธุรกรรมการโอนเงินในช่วงการเลือก สว. จึงต้องเชิญพวกเขาเข้ามาชี้แจงแสดงข้อเท็จจริงเรื่องเส้นทางการเงินว่าเงินดังกล่าวที่พนักงานสอบสวนพบนั้น เป็นการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเรื่องใด

นายระวี เผยต่อว่า ต้องอธิบายว่าจำนวนพยานทั้ง 12 ราย ที่คณะพนักงานสอบสวนเชิญมาให้ปากคำเรื่องเส้นทางการเงินนั้น เพราะเจอพยานหลักฐานที่ปรากฏดังกล่าว จึงต้องเชิญพวกเขามาชี้แจง แต่ย้ำว่าไม่ได้เป็นการระบุว่าพวกเขากระทำผิด เพียงแต่ว่าเส้นทางการเงินที่ปรากฏ มันอยู่ในช่วงของการรับสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พอดี และมีลักษณะเส้นทางการเงินที่พนักงานเห็นควรว่าต้องตรวจสอบ พวกเขาก็ต้องตอบหรือชี้แจงว่าทำไมจึงมีการโอนเงินในช่วงเวลาดังกล่าว หรือเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในคดีการฟอกเงินที่ต้องดำเนินการ

เมื่อถามว่าต้นทางของแหล่งเงินที่โอนมาให้พยานเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของพรรคการเมือง หรือเป็นคนธรรมดาหรือไม่นั้น นายระวี เผยว่า พนักงานสอบสวนจะต้องตรวจสอบต่อไป ซึ่งก็ต้องตรวจสอบย้อนกลับขึ้นไปว่าเป็นเงินที่มาจากที่ไหน เบื้องต้นเราเชิญพยานให้เข้ามาชี้แจงก่อน แต่ถ้าหากเจอว่าเส้นทางการเงินเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (สว.) คณะพนักงานสอบสวนก็ต้องเชิญมาให้ปากคำในฐานะพยานเช่นกัน แต่การจะออกหมายเรียกพยานกับกลุ่มคนเหล่านี้ ก็มีความจำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนก่อน

ต่อข้อถามจากรายงานข้อมูลการสืบสวนของดีเอสไอ เรื่องเส้นทางการเงิน รวมไปถึงรายการเดินบัญชี (Statement) มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่ากลุ่มพยานที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินอาจจะมีจำนวนมากกว่า 100 รายนั้น นายระวี ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้สูงมาก เนื่องจากสเกลที่ดีเอสไอรับผิดชอบสอบสวนเป็นเรื่องของการฟอกเงิน ซึ่งขอบเขตความรับผิดชอบจะใหญ่กว่าในส่วนที่ กกต. ดำเนินการ จึงย้ำว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ คู่ขนานไปกับการให้ความเป็นธรรมกับพยาน จึงจะได้ข้อสรุปว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยว หรือมีมูลหนี้ใด

เมื่อถามว่าในฐานะที่นายระวี อักษรศิริ ผอ.กองคดีการฟอกเงินทางอาญา เป็น 1 ใน 7 อรหันต์ หรือคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน มองอย่างไรว่าหากบุคคลดังกล่าวถูกแจ้งข้อกล่าวหาฐานความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับการรับเงิน จะต้องเข้ามาชี้แจงเรื่องการฟอกเงินกับทางดีเอสไอ ในฐานะที่ดีเอสไอรับดำเนินคดีอาญาอั้งยี่-ฟอกเงินหรือไม่นั้น นายระวี ชี้แจงว่า สำหรับบุคคลใดที่ถูกแจ้งมาตรา 77 (1) ตาม พ.ร.ป.สว.61 “กำหนดว่าผู้ใดกระทำการจัด ทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด” ก็จะต้องเข้ามาที่กองคดีการฟอกเงินทางอาญาเพื่อชี้แจงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เช่นเดียวกัน เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนมีรายชื่อของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินเรียบร้อยแล้ว แต่เพียงแค่ว่าตามกฏหมายของ กกต. ก็จะเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง ส่วนดีเอสไอก็จะเป็นอีกข้อหาหนึ่ง จึงทำให้การสอบสวนจะมีความคล้ายกัน แต่ใดๆ แล้วบุคคลนั้นต้องชี้แจงให้ได้ว่าเส้นทางการเงินนั้นคือธุรกรรมอะไร

เมื่อถามว่าทางคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน เตรียมที่จะมีการสรุปสำนวนพร้อมความเห็นส่งให้กับสำนักงาน กกต. ในเร็วๆ นี้ ส่วนทางสำนวนคดีอาญาอั้งยี่-ฟอกเงิน จะต้องสรุปสำนวนในเวลาใกล้เคียงกันด้วยหรือไม่ นายระวี ระบุว่า ไม่จำเป็น เพราะมันเป็นกฎหมายคนละฉบับกัน เนื่องจากในส่วนของกฎหมายอั้งยี่-ฟอกเงิน ที่ดีเอสไอรับผิดชอบ ก็ต้องดำเนินการต่อไป ส่วนของ พ.ร.ป.สว.61 ก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ทราบว่าสำนวนคดี พ.ร.ป.สว.61 (คดีฮั้ว สว.) ใกล้จะเสร็จสิ้น และจะส่งให้ กกต. ภายในกลางเดือน ก.ค.นี้ เบื้องต้นรวมแล้วมีผู้เกี่ยวข้องในสำนวนมากกว่า 200 ราย แต่ผู้เกี่ยวข้องอื่นอาจยังมีเพิ่มเติม แต่อาจต้องขอแยกสำนวนของ กกต. มิฉะนั้นอาจสรุปสำนวนไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับมติของทาง กกต.

ต่อข้อถามว่าเหลือเวลาอีกเพียง 1 ปี มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าสำนวนคดีฮั้ว สว. ที่คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนรับผิดชอบอยู่นั้น จะถูกส่งถึงมือนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ภายในปี 2568 นั้น นายระวี กล่าวว่า ขอยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องระยะเวลา มั่นใจว่าดำเนินการทันอย่างแน่นอน

สำหรับพยานทั้ง 3 ราย จากทั้งหมด 7 ราย ในกลุ่มแรก ที่เข้าให้ปากคำกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงินในคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ประกอบด้วย น.ส.สินิตา, นายสุบิน และนายอาทร จึงยังเหลือพยานอีกเพียง 4 ราย คือ นายวรพจน์, น.ส.ญาณี, น.ส.ภัณนิภา และนายอากร ที่จะต้องเข้าให้ปากคำระหว่างวันที่ 8-9 ก.ค.68.-119-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สำนักข่าวไทย Online

วิปรัฐบาลไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข จ่อเข้าสภาฯ พุธนี้

20 นาทีที่แล้ว

เจ้าของสวนจัดโปร ทายน้ำหนักถูก ได้ทุเรียนฟรีกลับบ้าน

25 นาทีที่แล้ว

สวยงาม “พญานาคน้อย” วัดดอนใหญ่ จ.ปทุมธานี ทาสีเสร็จแล้ว

25 นาทีที่แล้ว

เดินเกมรุกยื่นข้อเสนอทางการค้ารอบใหม่แก่สหรัฐ

27 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

‘จิราพร’ นำทีมไทยร่วมประชุม BRICS ที่บราซิล ดันความร่วมมือ AI ต้านฟอกเงิน–อาชญากรรมข้ามชาติ

THE STATES TIMES

ภูมิธรรมหนุนแนวคิด รมต.ลาออกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์ แก้ปมองค์ประชุมล่ม

TNN ช่อง16

อัปเดต! พายุโซนร้อน"ดานัส" จ่อถล่มจีนพรุ่งนี้

ข่าวเวิร์คพอยท์ 23

ชูนวัตกรรมเกมปริศนาอัจฉริยะ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ68 ต่อยอดอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน

สยามรัฐ

‘น้องเต้าหู้ อินฟลูฯจีน’ เปิดปากเล่าทั้งน้ำตา! เรื่องที่ปิดบังมาตลอด 20 ปี

เดลินิวส์

รัฐบาลปรับข้อเสนอให้สหรัฐ เปิดตลาดสินค้าเกษตร-พลังงานแลกลดภาษีนำเข้า ยันช่วยนักธุรกิจ-ภาคเกษตร

Manager Online

วิปรัฐบาลไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข จ่อเข้าสภาฯ พุธนี้

สำนักข่าวไทย Online

🛑LIVE ลุ้นระทึก ภาษีการค้าสหรัฐฯ | เศรษฐกิจ in focus

ไทยโพสต์

ข่าวและบทความยอดนิยม

DSI ส่งมอบทรัพย์ที่ยึด-อายัดคดีดิไอคอนให้ ปปง.

สำนักข่าวไทย Online

DSI ประสานกรมศุลฯ อายัดตู้คอนเทนเนอร์ เปิดพบบุหรี่ไฟฟ้า 71,000 ชิ้น

สำนักข่าวไทย Online

DSI ไม่ชี้ชัดเอาผิด 6 กก.ตรวจรับสร้างตึก สตง.เชื่อ ป.ป.ช.ขยายผลเอาผิดได้

สำนักข่าวไทย Online
ดูเพิ่ม
Loading...