ผู้สืบทอด "นายกฯคนที่สาม": จุดเปลี่ยนที่ศาลรัฐธรรมนูญ
สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยมี นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นศูนย์กลางของความไม่แน่นอน เนื่องจากกำลังเผชิญคดีสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ ผลลัพธ์ของคดีนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทิศทางการเมืองของประเทศ
ทางเลือกของนายกรัฐมนตรีและการถกเถียงเรื่องการยุบสภา
ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีแพทองธารถูกสั่งให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ท่ามกลางการพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญ มี 3 แนวทางหลักที่เป็นไปได้:
ลาออก ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย
ต่อสู้คดี ในศาลจนถึงที่สุด
ยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องการ ยุบสภา โดยนายกรัฐมนตรีรักษาการกลับเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมายที่ซับซ้อน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่นักวิชาการด้านกฎหมาย อย่างนายวิษณุ เครืองาม ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน บางฝ่ายเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรักษาการมีอำนาจทุกอย่างเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีปกติ ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าอำนาจในการยุบสภานั้นเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกของรัฐสภา
นายวิษณุเองมีแนวโน้มเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรักษาการ สามารถ ยุบสภาได้ แต่ต้องได้รับพระบรมราชานุญาต ในทางตรงกันข้าม นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กลับเชื่อว่าอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีและการยุบสภาเป็นอำนาจเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่อิงหลักความไว้วางใจจากรัฐสภา ดังนั้น นายกรัฐมนตรีรักษาการจึงไม่มีอำนาจยุบสภา ความเห็นทางกฎหมายที่ขัดแย้งกันนี้สร้างความไม่แน่นอนและอาจนำไปสู่ทางตันทางการเมืองหากมีการตัดสินใจยุบสภา
ผู้สืบทอดตำแหน่ง: "นายกรัฐมนตรีคนที่สาม"
หากนายกรัฐมนตรีแพทองธารลาออกหรือถูกถอดถอน พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผู้สมัครคนใดคนหนึ่งจากสองบุคคลนี้เพื่อเป็น "นายกรัฐมนตรีคนที่สาม" ของสภาชุดปัจจุบัน:
นายชัยเกษม นิติสิริ: ผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอันดับสามของพรรคเพื่อไทย ซึ่งกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณะมากขึ้นและยืนยันถึงความพร้อมด้านสุขภาพในการปฏิบัติหน้าที่ เขาเชื่อว่าเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์บางอย่างได้ดีกว่าผู้นำคนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม จุดยืนในอดีตของเขาเกี่ยวกับมาตรา 112 อาจกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา: อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เป็นไปได้ จากบทบาทเดิมของเขา
ศึก "แดง vs. น้ำเงิน": ความขัดแย้งที่รอการตัดสิน
สถานการณ์ทางการเมืองยังเต็มไปด้วยความตึงเครียดจาก ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย (ฝ่ายแดง) และพรรคภูมิใจไทย (ฝ่ายน้ำเงิน) ซึ่งมีการปะทะกันในหลายสมรภูมิ:
- ยกที่ 1: DSI สอบสวนกรณีสมรู้ร่วมคิดและฟอกเงินของ ส.ว. ซึ่งเป็นชัยชนะของฝ่ายแดง แม้ฝ่ายน้ำเงินจะพยายามสกัดกั้นข้อกล่าวหา "สมรู้ร่วมคิด" ได้
- ยกที่ 2: การปรับคณะรัฐมนตรีส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยถูกถอดออกจากตำแหน่ง เป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายน้ำเงิน
- ยกที่ 3: ส.ว. ฝ่ายน้ำเงินยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องจริยธรรมของรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย จนศาลสั่งให้ พล.ต.อ. ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่บางส่วน ถือเป็นผลกระทบต่อฝ่ายแดง
- ยกที่ 4: DSI รับคดี ส.ว. เป็นคดีพิเศษ และออกหมายเรียก ส.ว. หลายคน ซึ่งเป็นชัยชนะของฝ่ายแดง
- ยกที่ 5: ส.ว. ฝ่ายน้ำเงินเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารลาออกจากกรณีคลิปหลุดที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จฮุนเซน และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
- ยกที่ 6: มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแพทองธารเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของฝ่ายแดง
- ยกที่ 7: ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นผลกระทบที่สำคัญต่อฝ่ายแดง
- ยกที่ 8: มีการกล่าวถึงการหารือระหว่างฝ่ายน้ำเงินและ "ส้ม" (พรรคก้าวไกล) เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีชั่วคราว
- ยกที่ 9: ฝ่ายแดงรื้อฟื้นประเด็นที่ดินเขาคันทรง โดยพุ่งเป้าไปที่อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
- ยกที่ 10: นายกรัฐมนตรีแพทองธารยืนยันจะต่อสู้คดีในศาล ไม่ลาออกหรือยุบสภา โดยเชื่อมั่นในเจตนาของตนเอง
ความขัดแย้งเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปและมีแนวโน้มที่จะยุติลงด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของประเทศไทยในภาพรวม
ความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อทุกฝ่าย และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำคัญของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้