ผ่ามุมมองนักวิชาการ "สินไหมกรุณา"กับกฎหมายรองรับประกัน
Ex gratia payment
ความร่วมมือของสมาคมประกันวินาศภัยไทยและ คปภ.
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. ประมวล จันทร์ชีวะ
หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับที่ สสอ. 140/2568 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณพรมแดนติดต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาเมื่อเร็วๆ นี้นั้น โดยยืนยันว่าเหตุการณ์ยังไม่เข้าข่ายคำว่า “สงคราม” แต่หากเข้าข้อยกเว้นอื่นใด บริษัทประกันภัยสามารถช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนโดยพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในลักษณะ “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา” ได้ หลังการออกข่าวประชาสัมพันธ์ของ คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ออกข่าวประชาสัมพันธ์ขานรับนโยบายของ คปภ. และแสดงจุดยืนที่จะร่วมกับบริษัทสมาชิกในภาคธุรกิจประกันวินาศภัยในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และบริษัทประกันภัยหลายรายกำลังเร่งดำเนินการออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกิจ เช่น การจ่าย “เงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม” แม้ว่าในบางกรณีอาจเข้าข่ายข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม
การประสานความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกันของสมาคมประกันวินาศภัยไทยกับ คปภ. เพื่อประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจุดยืนของ คปภ. ที่ประนีประนอมผ่อนปรนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในลักษณะที่ “งอได้แต่ไม่หัก” ทำให้ผู้เขียนหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นและมีผลต่อธุรกิจประกันภัยจากเหตุการณ์โรคระบาดไวรัสครั้งใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ที่มีข้อถกเถียงหลายประการภายใต้ความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองในลักษณะ “เจอ-จ่าย-จบ” เช่น การที่บริษัทประกันภัยถึง 5 บริษัทไม่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายและการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในลักษณะ “ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ” ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ผู้เอาประกันภัยของบริษัทประกันภัยที่ล่มสลายทั้ง 5 บริษัทซึ่งไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยแบบ “เจอ-จ่าย-จบ” นั้น คือผู้เคราะห์ร้ายจากการใช้นโยบายดังกล่าวใช่หรือไม่และกองทุนประกันวินาศภัยคือผู้รับเคราะห์คนสุดท้ายจากการที่จะต้องเข้ามาชดใช้แทนใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลายคำถามดังกล่าวข้างต้นที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ในอดีตอาจไม่มีความสำคัญและอาจไม่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาในเรื่องนี้เพราะผลจากการร่วมมือและประนีประนอมระหว่างธุรกิจประกันภัยภาคเอกชนกับ คปภ. แต่ก็ยังมีบางประเด็นที่ควรศึกษาและวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการต่อไป
ประเด็นแรก Ex gratia payment ซึ่งเป็นคำที่มีสองส่วนจากสองภาษาคือ “Ex gratia” มาจากภาษาละตินซึ่งมีหลักฐานว่าคำนี้ได้เริ่มใช้กันมาตั้งแต่เมื่อประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 18 มีความหมายว่า เป็นเรื่องของการที่ให้เปล่า หรือด้วยความปรารถนาดี หรือความกรุณา หรือโดยไม่ต้องมีการตอบแทน ส่วน “payment” เป็นคำในภาษาอังกฤษมีความหมายที่ไม่ยุ่งยากคือ การจ่าย และเมื่อนำมาใช้ด้วยกันมีผู้ให้ความหมายไว้ในหลายแห่ง เช่น พจนานุกรมศัพท์ประกันภัย (พิมพ์ครั้งที่ 6) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน คำว่า Ex gratia payment คือการชดใช้สินไหมกรุณา หมายถึง เงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม, ในพจนานุกรมของต่างประเทศ The Marine Encyclopaedic Dictionary (Fourth Edition) ให้ความหมายไว้ว่า: Payment effected without the force of the law; As a sign of goodwill; As a favour., ใน Witherby’s Encyclopaedic Dictionary of Marine Insurance คำนี้ได้ถูกนิยามไว้ว่า: A payment made by an insurer in respect of a claim which is not legally recoverable under the policy and without admitting a legal liability. The insurer might agree to such payment as a sign of goodwill or to accommodate a valued assured. It is important to appreciate that, except where the reinsurance contract provides otherwise, a reinsurer is not obliged to reimburse the reassured for ex gratia payments made under the original policy., ส่วน Black’s Law Dictionary ซึ่งเป็นพจนานุกรมศัพท์กฎหมายที่นิยมใช้แพร่หลายในหมู่นักกฎหมายให้ความหมายไว้ว่า: Payment made by one who recognizes no legal obligation to pay but who makes payment to avoid greater expense as in the case of a settlement by an insurance company to avoid costs of suit. A payment without legal consideration. จากความหมายที่มีผู้ให้ไว้ในหลายแหล่งที่สามารถอ้างอิงได้นี้ อาจสรุปได้ว่า คำว่า Ex gratia payment ก็คือการที่ผู้รับประกันภัยจ่ายเงินเพื่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยที่ไม่มีภาระหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จะต้องชดใช้นั่นเอง ดังนั้น เราจึงอาจสรุปได้ว่า คำว่า Ex gratia payment นี้ โดยแท้จริงแล้วได้ให้อิทธิพลต่อคำว่า “การชดใช้สินไหมกรุณา” และเป็นที่มาของการใช้คำในธุรกิจประกันภัยอย่างย่อๆ ว่า “สินไหมกรุณา” และรวมถึงคำว่า “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา” และ “เงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม” อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่มีการนำคำว่า “ค่าสินไหมทดแทน” มาใช้ร่วมกับคำว่า “กรุณา” เป็นคำเดียวกันว่า “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา” มีข้อพึงระวังว่า คำว่า “ค่าสินไหมทดแทน” มีปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 ประกันวินาศภัย หลายแห่งตั้งแต่มาตรา 869 ถึงมาตรา 886 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรา 877 ของกฎหมายฉบับนี้บัญญัติไว้ว่า “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดั่งจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง……” ซึ่งมีความหมายที่เข้าใจได้ว่า ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใดๆ สำหรับความเสียหายที่พึงประเมินเป็นเงินอันถูกต้องแท้จริง ดังนั้น การที่ภาคธุรกิจเอกชนใช้คำว่า “สินไหมกรุณา” และ พจนานุกรมฯ ของราชบัณฑิตยสถานใช้คำว่า “การชดใช้สินไหมกรุณา” ในความหมายของ Ex gratia payment โดยที่ไม่ได้นำคำว่า “ค่าสินไหมทดแทน” มาใช้ประกอบด้วย และการที่ข่าวประชาสัมพันธ์ของสมาคมประกันวินาศภัยไทยใช้คำว่า “เงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม” จึงดูมีเหตุผลและความเหมาะสมมากกว่าที่จะใช้คำว่า “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา”
ประการที่สอง ปัญหาความคับแคบของถ้อยคำในมาตรา 31 (11) พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ที่บัญญัติห้ามไม่ให้บริษัทประกันภัย “ให้ประโยชน์เป็นพิเศษแก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย” ข้อห้ามตามมาตรานี้ ไม่ได้บัญญัติข้อยกเว้นที่เหมาะสมที่เปิดทางให้ผู้รับประกันภัยให้ประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ที่เป็นพิเศษเกินเลยหรือนอกเหนือจากที่ตนมีหน้าที่ตามกฎหมายและตามสัญญาประกันภัย หรือให้อำนาจนายทะเบียนประกันภัย หรือ คปภ. ที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้มีการให้ประโยชน์เป็นพิเศษที่ว่านั้นในกรณีที่มีสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เอาประกันภัยหรือเหตุการณ์ใดที่สมควรที่จะมีการช่วยเหลือเยียวยากันได้จากฝ่ายผู้รับประกันภัยโดยที่อาจไม่ต้องนำข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยมาพิจารณาประกอบและการช่วยเหลือเยียวยาเช่นนั้นไม่กระทบต่อความมั่นคงทางฐานะการเงินและเงินกองทุนของบริษัทประกันภัย
พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ฉบับนี้เป็นกฎหมายหลักในการควบคุมและกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยซึ่งมีการแก้ไขมาแล้วถึงสามครั้ง โดยพระราชบัญญัติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2558 และฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562 แต่มาตรา 31 (11) ไม่ได้ถูกแก้ไขแต่อย่างใด และแม้ว่าอาจไม่มีผู้เอาประกันภัยใดที่ได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้รับประกันภัยที่ฝ่าฝืนมาตรา 31 (11) จะร้องเรียนต่อ คปภ. ให้ลงโทษผู้รับประกันภัยที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยฝ่าฝืนมาตรานี้ให้แก่ตนทั้งๆ ที่ตนเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้น แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถึงเวลาที่ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขประเด็นตามมาตรา 31 (11) เพื่อให้เกิดการสร้างเครื่องมือทางกฎหมายและแนวทางที่มีความชัดเจนพร้อมที่จะดำเนินการและประสานงานร่วมกันระหว่าง คปภ. กับภาคธุรกิจประกันภัยที่จะร่วมมือหาทางกันช่วยเหลือเยียวยาผู้เอาประกันภัยในกรณีของ Ex gratia payment ได้อย่างทันท่วงทีโดยมีกฎหมายรองรับหรือยัง