IRPC ถึงเวลาตัดใจหรือยัง? จากต้นปีราคาดิ่งแล้ว 22% โบรกฯ แนะทั้ง “ขาย” และ “Underperform” มองกำไรเปราะบาง-ไร้ปัจจัยหนุนผลงาน
ราคาหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยวันที่ 8 ส.ค.68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 0.97 บาท ลดลง 2.02% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 39.19 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 21.77% จากระดับ 1.24 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น IRPC ร่วงลง เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 2/68 รวมถึงครึ่งปีแรกของปี 2568 ออกมาอ่อนแอ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปียังคงไม่สดใส
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มีความเห็นไปในทิศทางใกล้เคียงกันสำหรับ IRPC โดยแนะนำทั้ง “ขาย” และ “Underperform” โดยมองว่าโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ส่งผลให้กำไรของบริษัทมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังไม่เห็นสัญญาณที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
โดย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ขาย” หุ้น IRPC ด้วยราคาเป้าหมาย 0.67 บาท เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานที่สูงของ IRPC ส่งผลให้กำไรของบริษัทมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ IRPC รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 2,132 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน หากไม่รวมรายการพิเศษ ขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 400 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ขาดทุนสุทธิเป็นไปตามที่ บล.บัวหลวง และตลาดคาด
อย่างไรก็ดี คาดว่า IRPC จะยังคงรายงานผลการดำเนินงานหลักปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 3/68 (ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น) (ทรงตัวจากไตรมาสก่อน)
ทั้งนี้ บล.บัวหลวง ปรับประมาณการขาดทุนสุทธิในปี 2568 เป็น 3,599 ล้านบาท (จาก 2,060 ล้านบาท) เพื่อสะท้อนขาดทุนพิเศษที่บันทึกในครึ่งแรกของปี 2568
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “Underperform” สำหรับ IRPC ด้วยราคาเป้าหมาย 1.00 บาท ระบุ ยังคงไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของ IRPC ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน แม้เชื่อว่าส่วนต่างราคาปรับตัวลงมาถึงจุดตํ่าสุดแล้วในวงจรขาลงครั้งนี้ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงอยู่ที่ระดับตํ่าสุดยาวนานออกไปอีกอันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางการค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้ผลิตที่ใช้แนฟทาต้นทุนสูงเป็นวัตถุดิบ