เจพีมอร์แกน ชู หุ้นไทยแกร่งสุดรอบ 5 ปี ให้เป้าสูงสุด 1,350 จุด
เจพีมอร์แกน ให้เป้า SET Index ปีนี้สูงสุด 1,350 จุด หลังล่าสุดภาพรวมตลาดหุ้นไทย ปรับตัวแกร่งสุดในรอบ 5 ปี นับจากปี 2020 โดยเดือน ก.ค.เดือนเดียว SET Index พุ่งกว่า 14% จากหลายปัจจัยบวก อาทิ แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ยังประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากผลกระทบการท่องเที่ยว อุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา และแรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าที่แผ่วลง
บทวิเคราะห์ จาก เจพีมอร์แกน ระบุว่า ขณะนี้ SET Index ได้ทะลุกรอบเป้าหมายกรณีฐาน (Base Case Scenario) ที่ 1,200 จุดไปเรียบร้อยแล้ว โดยมองว่า ตลาดได้ Price in ปัจจัยบวกไปแล้วเช่นกัน พร้อมทั้งประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากผลกระทบในภาคการท่องเที่ยว อุปสงค์ในประเทศที่ยังคงซบเซา และแรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าที่แผ่วลง ทั้งนี้มองว่า เงินทุนไหลเข้าอาจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดในระยะสั้น แต่ยังขาดปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่จะส่งดัชนีให้ไปต่อ โดยคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปีไว้ที่ 1,200 จุด โดยให้กรอบเป้าหมายในกรณีที่แย่ที่สุดที่ 900 จุด ดีที่สุดที่ 1,350 จุด
สำหรับหุ้นกลุ่ม Top pick ได้แก่ TRUE, CPALL, BH, BDMS, MINT, GULF, KBANK, KTB, BLA และ TLI
เจพีมอร์แกน ระบุว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามอง ประกอบด้วย 1.ความชัดเจนของข้อตกลงทางการค้า ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีตอบโต้ 19% สำหรับสินค้าไทย ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ในตอนแรกที่ 36% โดยอัตราใหม่อยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน (เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย) ตามที่คาดการณ์ไว้ และต่ำกว่าจีนที่ 55% มาก ซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนและภาคธุรกิจในไทย
2. ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงหนุนในระยะสั้นจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมา โดยในเดือนก.ค. มีเงินทุนจากต่างประเทศกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 14% แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และเอเชีย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีเงินทุนไหลเข้ามากที่สุด ได้แก่ ขนส่ง (AOT), ธนาคาร (KBANK, BBL), พาณิชย์ (CPALL), สาธารณูปโภค (GULF) และ อสังหาริมทรัพย์ (CPN) ส่วนมูลค่าต่างชาติขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี ยังคงมีสูงถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในช่วงครึ่งปีแรก ลดลง 4.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนและเหตุการณ์กราดยิง จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ขณะที่สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยว่า มีการยกเลิกห้องพักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก.ค.
4. ด้านอุปสงค์ในประเทศ ข้อมูลชี้วัดต่าง ๆ อาทิ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และรายได้ภาคเกษตร ยังคงส่งสัญญาณถึงความเสี่ยงที่รออยู่ โดยการเร่งส่งออกล่วงหน้าและการลดภาษีได้ผลักดันแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ แต่ J.P. Morgan มองว่าช่วงขาขึ้นส่วนใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว โดยคาดว่า การเติบโตของ GDP ในไตรมาส 3 และ 4 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงเหลือ 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส จากระดับประมาณ 2.8% ในไตรมาส 1 และ 2
5. บริษัทในตลาดหุ้นไทยประมาณ 30% รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ไปแล้ว โดยกลุ่มที่ทำผลงานออกมาดีกว่าที่คาด ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธนาคาร (SCB, KTB, BBL) และโรงพยาบาล (BH) ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีผลประกอบการอ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, GLOBAL) ส่วนกลุ่มอื่น ๆ โดยรวมเป็นไปตามคาด (DELTA, PTTEP, SCC) ตัวเลขคาดการณ์กำไรยังคงทรงตัวในเดือนก.ค. (+0.3% MoM) จากการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรในกลุ่มวัสดุ (+3.1% MOM), พลังงาน (1.2%), สินค้าอุปโภคบริโภค (+1.1%) และโทรคมนาคม (+1%)
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO