“ซูโจว” เมืองขึ้นชื่อของจีนที่ผสมผสานความเก่าและความทันสมัยอย่างลงตัว
เมืองเปลี่ยนโฉมหน้า /เขียนโดย หวังอวี๋ซินหง
เมืองซูโจว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซูของจีน เป็นเมืองขึ้นชื่อที่มีประวัติศาสตร์ยาวถึง 2,500 ปี และมีเสน่ห์ทางวัฒนธรรม นับเป็นหนึ่งในเมืองที่เศรษฐกิจคึกคักที่สุดของจีนตั้งแต่โบราณกาล ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวรรค์บนดิน
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี เมืองซูโจวแสดงบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีนเนื่องด้วยทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบ ระบบอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ และการเปิดกว้างที่มีประสิทธิผล ปี 2024 ที่ผ่านมา จีดีพีต่อหัวของเมืองซูโจวอยู่ที่ 2.06 แสนหยวน จัดอยู่ท็อป 10 ในบรรดาเมืองต่าง ๆ ของจีน มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่ที่ 4.7 ล้านล้านหยวน อุตสาหกรรมด้านข้อมูลสารสนเทศ อุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ และวัสดุขั้นสูง บรรลุมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมล้านล้านหยวน
ในด้านการเปิดกว้าง เมืองซูโจวมีวิสาหกิจทุนต่างชาติและฐานการส่งออกจำนวนมาก ไตรมาสแรกปี 2025 มูลค่านำเข้าและส่งออกของเมืองซูโจวสูงถึง 632,520 ล้านหยวน เติบโต 7.3% มูลค่าการส่งออกไปยังประเทศร่วมสร้างสรรค์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพิ่มขึ้น 14.3% การส่งออกอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะสูงกว่า 20%
เมืองซูโจวค่อย ๆ วิวัฒนาการจากเมืองอารยธรรมการเกษตรแบบในน้ำมีปลาในนามีข้าว มาเป็นเมืองเศรษฐกิจพัฒนาที่มีประสิทธิผล และได้รับการยกย่องเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี และมีความทันสมัยที่คึกคัก
เขตเมืองโบราณของเมืองซูโจววิวัฒนาการจากอดีต
การอนุรักษ์เขตเมืองโบราณของซูโจวเป็นโครงการเชิงระบบที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอนุรักษ์ทั้งสถาปัตยกรรม ถนนหนทาง และวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของคนซูโจวในเขตเมืองโบราณด้วย จากการบูรณะให้กลมกลืนเหมือนของเดิมและการสร้างสรรค์ให้ฟื้นฟูความมีชีวิตชีวา เขตเมืองโบราณของซูโจวสร้างรูปแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัย นับเป็นแบบฉบับแห่งการปรับปรุงย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจีน
เขตเมืองโบราณของเมืองซูโจวตั้งอยู่ในเขตกูซู เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู พื้นที่ 14.2 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่แคว้นอู๋สมัยชุนชิวสร้างเมืองหลวงที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี กู้เจี๋ยกัง นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อของจีนเห็นว่า ในแง่ความโบราณแล้ว เมืองซูโจวนับเป็นเบอร์หนึ่งของจีน เพราะตั้งแต่สมัยชุนชิวจนถึงทุกวันนี้ เมืองซูโจวพัฒนาในที่เดิมมาโดยตลอด
ความโบราณที่ว่านี้หมายถึงการรักษาผังเมืองโบราณอย่างสมบูรณ์ วันนี้ เขตเมืองโบราณของเมืองซูโจวยังคงรักษาไว้ซึ่งผังเมืองแบบกระดานหมากรุกคู่ขนาน "ทางน้ำขนานไปกับทางบก ถนนกับทางน้ำตั้งอยู่ติดกัน" ใน "ภาพผิงเจียง" สมัยราชวงศ์ซ้อง ซึ่งผิงเจียงเป็นหนึ่งในชื่อเดิมของเมืองซูโจว หร่วนหย่งซาน เจ้าหน้าที่สถานอนุรักษ์มรดกเมืองหร่วนอี๋ซาน เลขที่ 20 ถนนผิงเจียง กล่าวว่า “ค.ศ. 1229 ศิลาจารึกภาพวาดผิงเจียง ได้บันทึกโฉมหน้าพื้นฐานของเมืองซูโจวในสมัยราชวงศ์ซ้องใต้ ผังเมือง ระบบน้ำสายหลัก ถนนสายหลักของเขตเมืองโบราณซูโจวในทุกวันนี้คล้ายกับในภาพผิงเจียงอย่างมาก ซึ่งหาพบได้ยากในทั่วโลก”
ความโบราณที่ว่านี้ หมายถึงระบบที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วง 2,500 ปีมานี้ คลองใหญ่ต้ายุ่นเหอเมื่อไหลเข้ามายังเขตเมืองซูโจวแล้ว ก็พัฒนาเป็นเครือข่ายระบบน้ำที่สมบูรณ์ ระบบน้ำในเมืองกับระบบน้ำจากนอกเมือง เชื่อมโยงกันที่แม่น้ำรอบเขตเมืองโบราณ รวมเป็นสายน้ำเดียวกัน จนถึงทุกวันนี้ แม่น้ำสายนี้ยังแสดงบทบาทสำคัญในด้านการขนส่งลำเลียง และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นับเป็นความพิเศษยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งด้วย
ในสมัยราชวงศ์ซ้อง คลองใหญ่ยาว 82 กิโลเมตร บนคลองมีสะพาน 314 แห่ง ในปลายราชวงศ์ชิง คลองยาว 58 กิโลเมตร บนคลองมีสะพาน 241 แห่ง ทุกวันนี้ คลองยาว 35 กิโลเมตร และมีสะพาน 168 แห่ง นับเป็นเมืองน้ำที่มีคลองยาวที่สุดและสะพานเยอะที่สุด มาร์โคโปโลยกย่องเมืองซูโจวว่าเป็น “เมืองเวนิชแห่งเอเชีย”
ผู้กำหนดนโยบายทุกสมัย และวงการต่าง ๆ ของเมืองซูโจว มีความผูกพันกับเมืองแห่งนี้อย่างมาก และเห็นคุณค่าอันล้ำค่าของเมืองโบราณนี้ด้วย โดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา พร้อมไปกับการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ และเปิดกว้าง เมืองซูโจวปฏิบัติตามการอนุมัติชี้นำเกี่ยวกับการอนุรักษ์เขตเมืองโบราณของรัฐบาลจีน โดยกำหนดโครงสร้างพื้นฐาน ความสูงสิ่งก่อสร้าง สัดส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน รูปทรงสิ่งก่อสร้าง ตลอดจนสีสันของสิ่งก่อสร้างด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว การอนุรักษ์เขตเมืองโบราณของซูโจวจึงกลายเป็นแบบฉบับแห่งการอนุรักษ์เมืองวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน
นอกจากสิ่งก่อสร้างที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว บ้านพักชาวบ้านในเขตเมืองโบราณก็เป็นสิ่งที่ต้องอนุรักษ์อย่างดีด้วย “การมีบ้านอยู่ในเขตเมืองโบราณ” เป็นความภาคภูมิใจของคนซูโจว “คนที่อาศัยอยู่ในเขตวัฒนธรรมเชิงประวัติศาสตร์ผิงเจียงมีถึง 13,000 คน” หร่วนหย่งซานกล่าวถึงความสำคัญของคนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองโบราณว่า “การอนุรักษ์เสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ของเขตเมืองโบราณต้องให้คนท้องถิ่นอาศัยอยู่ในเขตโบราณต่อ ซึ่งทางการท้องถิ่นกำหนดให้อัตราการกลับมาอาศัยอยู่ในที่เดิมของคนท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 50% และสิ่งก่อสร้าง 80% ยังคงเป็นบ้านพักอาศัย ขณะเดียวกันกับการรักษาวิถีชีวิตของชาวบ้านแล้ว เราจะปรับปรุงซ่อมแซมสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อมด้วย”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยกล่าวว่า “หากมองไม่เห็นถึงความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน ก็ไม่อาจจะเข้าใจจีนในยุคโบราณ ไม่อาจจะเข้าใจจีนในทุกวันนี้ และไม่อาจจะเข้าใจจีนในอนาคตได้” เมืองซูโจวซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงพันปีแห่งนี้ ทำให้คนในยุคปัจจุบันสัมผัสถึงความรุ่งโรจน์ของวัฒนธรรมเมืองซูโจวในสมัยโบราณ และสัมผัสถึงความเชื่อมั่นทางวัฒนธรรมของซูโจว ซึ่งเศรษฐกิจพัฒนาอย่างรุ่งเรือง และมีเสน่ห์ที่ผสมผสานทั้งยุคโบราณกับยุคปัจจุบันเช่นนี้ นอกจากสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุของซูโจวแล้ว ยังสะท้อนถึงความสงบและความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
พัฒนาเมืองตามแนวคิดสีเขียว
เมื่อเทียบกับความเก่าแก่ของเขตเมืองโบราณซูโจวแล้ว นิคมอุตสาหกรรมเมืองซูโจว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตเมืองโบราณนั้นมีความทันสมัยอย่างมาก เมื่อ 30 ปีก่อน นิคมอุตสาหกรรมซูโจวยังคงเป็นทุ่งนาในเขตตะวันออกของเขตเมืองโบราณ ผ่านไป 30 ปี ที่นี่กลายเป็นเมืองสร้างสรรค์ที่มีความทันสมัยและคึกคักมาก ที่นี่ เขตเมืองก็คือแหล่งท่องเที่ยว ธุรกิจการค้าก็คือการท่องเที่ยว ทะเลสาบจินจี สวนสาธารณะที่สวยงามของเมืองซูโจว ตั้งอยู่ที่ใจกลางของเขตธุรกิจ ซึ่งอยู่ร่วมกับเขตเมืองโบราณอย่างกลมกลืน
เมื่อพูดถึงคําว่า "อุตสาหกรรม" ผู้คนมักนึกถึงอาคารโรงงานที่ตั้งติดกันมากมายและมลพิษร้ายแรงเป็นอันดับแรก แต่นิคมอุตสาหกรรมซูโจวสะท้อนถึงภาพลักษณ์เมืองที่ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศทางธรรมชาติและเทคโนโลยีทันสมัยเท่าเทียมกัน นี่เป็นเพราะว่าทางนิคมส่งเสริมการประหยัดพลังงานและลดคาร์บอนในทั่วทั้งสังคม และเลือกใช้เส้นทางการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงที่เน้นการอนุรักษ์ระบบนิเวศ และเน้นความเป็นสีเขียวคาร์บอนต่ำ
เมืองซูโจวเจริญรุ่งเรืองเพราะน้ำ น้ำคือจิตวิญญาณของซูโจว สําหรับการบําบัด"น้ำ" นิคมอุตสาหกรรมซูโจวมีความเป็นเอกลักษณ์ของตน เมื่อเดินเข้าไปในโรงบําบัดน้ำเสียแห่งที่สองของนิคมอุตสาหกรรมซูโจว ภาพที่พบเห็นเหมือนสวนสาธารณะเชิงนิเวศแห่งหนึ่ง ภายในโรงงาน ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีพื้นที่ประมาณ 2.9 เฮกตาร์ ต้นกกแกว่งไกวไปตามลมและดอกบัวงามบานสะพรั่ง
พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้มีฟังก์ชันการยกระดับคุณภาพน้ำตอนท้าย การฟื้นฟูแหล่งน้ำ ภูมิทัศน์พื้นที่สีเขียว การป้องกันน้ำท่วม และการชลประทาน โดยส่วนหนึ่งของน้ำตอนท้ายที่ผ่าน "ระบบรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่" แล้ว ถูกปล่อยเข้าสู่พื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อได้รับการปรับรักษาตามธรรมชาติ คุณภาพน้ำก็จะมีความบริสุทธิ์มากขึ้น
สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือ แผงโซลาร์เซลล์ที่ตั้งอยู่บนบ่อบำบัดน้ำเสียที่ส่องประกายระยิบระยับ ที่นี่เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์แบบกระจายกำลังผลิต 5.72 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการ "โซลาร์เซลล์ + บำบัดน้ำเสีย" ที่ใหญ่ที่สุดในซูโจวในปัจจุบัน โครงการนี้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ประสิทธิภาพสูง 550 วัตต์ต่อแผง จำนวน 10,400 แผง เหนือบ่อบำบัดน้ำเสียและบนหลังคาอาคาร เป็นพื้นที่ 44,000 ตารางเมตร ข้อมูลระบุว่า โครงการนี้มีกําลังการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5.81 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งใช้กับท้องถิ่นหมด สามารถประหยัดถ่านหินมาตรฐานได้ประมาณ 1,743 ตัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 3,486 ตันต่อปี
ในซูโจว ร่องรอยของ “คาร์บอนเป็นศูนย์” และ “รอยเท้าคาร์บอน” สามารถพบเห็นได้ทุกที่ ศูนย์โลจิสติกส์ไนกี้แห่งประเทศจีน ที่เมืองไท่ชาง ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และได้สร้างศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะคาร์บอนเป็นศูนย์แบบผสานพลังงานลมกับแสงอาทิตย์
หมู่บ้านเจี่ยงเซี่ยง อำเภอจือถัง เมืองฉางสู เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะแบบบูรณาการ และคาร์บอนเป็นศูนย์เพื่อความสุขของชาวบ้าน กลายเป็นหมู่บ้านอัจฉริยะไร้คาร์บอนแห่งแรกของซูโจว แพลตฟอร์มจัดการ “รอยเท้าคาร์บอนอัจฉริยะ” แห่งแรกของมณฑลเจียงซู ก็เปิดตัวที่ซูโจว ช่วยคำนวณ “รอยเท้าคาร์บอน” ของผลิตภัณฑ์วิสาหกิจต่าง ๆ ข้อมูลถึงปี 2025 การใช้พลังงานต่อหน่วยจีดีพีของเมืองซูโจวลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับปี 2020 เป็นการปูรากฐานมั่นคงเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ความงามของสถาปัตยกรรม ธรรมชาติและวัฒนธรรมของสวนซูโจว
เมืองซูโจวมีสมบัติมากมาย “สวนโบราณซูโจว” ซึ่งได้รับการยกย่องว่า “จิตรกรรมสามมิติ บทกวีที่สถิตอยู่ และท่วงทำนองที่ไร้เสียง” นับเป็นนามบัตรที่เปล่งประกายที่สุดของเมืองซูโจวมาโดยตลอด
สวนซูโจว เริ่มสร้างขึ้นในยุคชุนชิว หรือกว่า 2,500 ปีก่อน เฟื่องฟูในยุคราชวงศ์ถังและซ้อง รุ่งเรืองสุดขีดในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง โดยในยุครุ่งเรือง มีสวนซูโจวกว่า 250 แห่ง โดยคงเหลือให้เห็นถึงทุกวันนี้ 58 แห่ง ได้รับการขนานนามว่า ผลงานคลาสสิกแห่ง “ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” แตกต่างจากสวนหลวงทางภาคเหนือ
สวนซูโจวใช้หลักภูมิสถาปัตย์ "เล็กแต่ประณีต" โดยจัดภูเขาเทียม สระน้ำ เก๋งศาลา ตลอดจนพันธุ์พฤกษาให้อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน ปรับความสมดุลระหว่างความว่างกับวัตถุจริงอย่างดี และใช้พื้นที่จำกัดในการสร้างบรรยากาศธรรมชาติอันเวิ้งว้างได้อย่างน่าอัศจรรย์
“เจ้าของสวนซูโจวส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่ลาออกจากราชการ” เฮ่อ ชุนเฟิง ผู้อำนวยการสถาบันออกแบบสวนซูโจวแนะนำว่า สวนซูโจวมุ่งสร้างความหมายนอกรูปร่าง เป็นภูมิทัศน์แห่งอุดมคติของผู้สร้างที่ใช้สะท้อนความคิดเห็น ปรัชญา และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อปัญญาชนลาออกจากราชการ มักจะซื้อที่ดินในย่านที่รุ่งเรืองที่สุด สร้างกำแพงสูงเพื่อกั้นโลกภายนอกที่วุ่นวาย เชิญปัญญาชนไร้สังกัดมาร่วมกันร่ายบทกวี วาดภาพจิตรกรรม และบรรเลงดนตรี ช่วงนั้นสวนซูโจวจึงกลายเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมอันรุ่งโรจน์ของเจียงหนาน
ปัจจุบัน ซูโจวมีสวนโบราณ 9 แห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น“มรดกโลก” เช่น สวนจัวเจิ้งหยวน สวนหลิวหยวน และสวนหว่างซือหยวน เป็นต้น องค์การยูเนสโกประเมินว่า สวนต่าง ๆ ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11—19 ด้วยการออกแบบที่ประณีตบรรจง สะท้อนภูมิปัญญาอันลุ่มลึกของวัฒนธรรมจีนที่เคารพกฎแห่งธรรมชาติ และเกินกว่าธรรมชาติ”
ปัจจุบัน สวนโบราณซูโจวกลายเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการพัฒนาเศรษฐกิจการบริการของเมืองซูโจว เฉพาะสวนโบราณ 7 แห่งในเขตเมืองโบราณ ซึ่งเป็นมรดกโลกนั้น สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ปีละกว่า 3.5 ล้านคน และสร้างรายได้เฉพาะค่าเข้าชม 150 ล้านหยวนต่อปี
หลายปีมานี้ ซูโจวดำเนินยุทธศาสตร์ “ถ่ายโอนส่วนประกอบของสวนสู่พื้นที่สาธารณะ” ฟื้นฟูความชีวิตชีวาของวัฒนธรรมสวนโบราณ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ นักออกแบบได้แฝงรหัสวัฒนธรรมของสวนโบราณต่าง ๆ เช่น ภูเขาจำลอง กรอบหน้าต่างลายดอกไม้ และศาลาโบราณ ไว้ที่วงเวียนจราจรและใต้ทางด่วน ช่วยตอบโจทย์พื้นที่พักผ่อนของชุมชน และประดับตัวเมืองให้มีเสน่ห์ความโบราณด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดินตามถนนกันเจี้ยง กระถางดอกไม้แบบซูโจวเรียงรายตามริมถนนดั่งงานประติมากรรม สะท้อนถึงความประณีตของศิลปะการจัดสวนสไตล์เจียงหนาน และผู้คนที่เดินไปมาอย่างวุ่นวายนั้น ก็มีโอกาสชะลอฝีเท้าเพื่อชมความงดงามของสวนโบราณซูโจว
เมื่อยามค่ำมาเยือน เมืองซูโจวแห่งนี้มีความงดงามยิ่งขึ้นอีกสวนโบราณได้ขจัดข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวเฉพาะตอนกลางวัน โดยใช้ศิลปะแสงสีเสียงสร้างมหกรรมอันตระการตา ใต้ม่านราตรีแสงและเงาที่ตกทอดเคลื่อนไปมาระหว่างศาลาและหอของสวนหว่างซือหยวน ประกอบกับการประสานเสียงขับร้องงิ้ว“คุนฉวี่” และเล่นดนตรี “ผิงถาน” เป็นประสบการณ์เสมือนเดินในภาพวาด
ในสวนจัวเจิ้งหยวน นักท่องเที่ยวถือโคมกระดาษเดินชมทิวทัศน์สวยงามท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของแสงสีเสียง ส่วนงาน “คืนมหัศจรรย์หู่ชิว” ใช้เเอฟเฟกต์แสงเงาในการฟื้นภาพความรุ่งโรจน์เมื่อพันปีก่อน เมื่อแสงสาดส่องเจดีย์บนภูเขาหู่ชิว ประวัติศาสตร์กับปัจจุบันหมือนซ้อนทับกัน ณ ที่แห่งนี้
กิจกรรมกลางคืนในสวนโบราณต่าง ๆ ยืดเวลาการอยู่เที่ยวชมของนักท่องเที่ยว ได้กระตุ้นการพัฒนาธุรกิจร้านอาหาร และโรงแรมในบริเวณรอบข้าง อัดฉีดแรงกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจท่องเที่ยวของเมืองซูโจวด้วย
นี่ก็คือซูโจว แผ่นหินทุกแผ่นได้จารึกลมหายใจแห่งกาลเวลา ผืนดินทุกตารางนิ้วรังสรรค์ความเป็นไปได้แห่งอนาคต ซูโจวเป็นเมืองที่ให้อดีตกับอนาคตจับมือกัน ประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,500 ปี สะท้อนถึงความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของอารยธรรมโบราณในยุคสมัยใหม่