พลทหารม่อนเปิดใจนาทีถูกระเบิดที่คูเลตจนบาดเจ็บทหารกัมพูชา
พลทหารม่อนเปิดใจนาทีถูกระเบิดที่คูเลตจนบาดเจ็บทหารกัมพูชารบแบบยิงมั่วไม่รู้กระสุนจะไปโดนใครและไม่สนใจชาวบ้านจะเดือดร้อนพระการกระทำของตนหรือรบแบบไร้มนุษย์ธรรม
ผู้สื่อข่าวได้ไปยังบ้านของพลทหารพิตรพิบูล รามคำ หรือม่อน อายุ 18 ปี บ้านผาทั่ง ตำบลห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า สะเก็ดระเบิดฝังที่ใบหน้าและตาจนแพทย์นั้นต้องนำสะเก็ดระเบิดออกและเคราห์ดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ จากบริเวณพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นก็ได้ถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบราชธานี 3 วันจากนั้นอาการก็เบาลงและให้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นก็ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านตำบลห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ ซึ่งในตอนนี้ที่บ้านนั้นกำลังปรับปรุงบ้าน โดยก่อนหน้านี้ทางพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานีและพระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด และ อบต.ห้วยแห้งรวมถึงผู้ที่ใจบุญต่างมาร่วมกันปรับปรุงบ้านที่ทรุดโทรมให้ พลทหารพิตรพิบูล ซึ่งอยู่กับตาและยาย โดยพลทหารพิตรพิบูล หรือน้องม่อน ได้ไหว้เท้าและสวมกอดนายประชัน กระดานราช อายุ 63 ปี และ นางธิตา แก้วเขียว อายุ 58 ปี ซึ่งเป็นตาและยายของพลทหารม่อนทั้งน้ำตาด้วยความดีใจที่ได้กลับมาหาอีกครั้ง นางธิตา นั้นร่ำไห้สวมกอดหลานด้วยความภาคภูมิใจอย่างมากโดยและขอเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า พ่อและแม่นั้นได้แยกทางกันอยู่ โดยฝ่ายพ่อนั้นได้แยกทางไป และแม่นั้นทำงานเป็น รปภ.อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลพอรู้ว่าลูกมาพักฟื้นที่บ้านก็มาหาและมาอยู่ด้วยและเพิ่งกลับไปทำงาน ซึ่งแม่นั้นได้โทรศัพท์ติดต่อพลทหารม่อนมาตลอดด้วยความห่วงใยนั่นเอง
และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปยังภูมะเขือพร้อมกับทหารนายอื่น ๆ พอไปถึงผู้บังคับหมู่ก็ให้เข้าไปในคูเลตหรือที่หลบและโต้ตอบโดยยิงป้องกันไว้ ในตอนนั้นอยู่กับเพื่อน 2 คนและมีเพื่อนที่ถือวิทยุเดินมาหาเพื่อนได้ถามผู้บังคับหมู่ว่า วิทยุต้องเปิดหรือเปล่า ผู้บังคับหมู่ก็บอกไปว่าไม่ต้องเปิดนะวิทยุเค้าไม่ให้ใช้จากนั้นเพื่อนก็ปิดไปรอบหนึ่งจากนั้นก็เปิดวิทยุใหม่ จากนั้นมีนายทหารอีกคนหนึ่งเดินมาบอกว่าไม่ต้องเปิดนะวิทยุเพราะทหารเขมรมันจับสัญญาณได้ นั่นคือสาเหตุให้ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ คอ 82 ยิงมายังคูเลตที่หลบกันอยู่ ยอมรับว่าพอระเบิดลงถึงพื้นก็ตกใจและเสียงนั้นดังกระหึ่มจนน่ากลัว ลงมาจนหูอื้อไปเลย จากนั้นมาก็ถูกสะเก็ดระเบิดที่หน้า เข้าที่จมูกและตามใบหน้าและเข้าตาข้างขวาแต่เป็นแค่เศษเล็ก ๆ จากนั้นก็ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบราชธานี ประมาณ 3-4 วัน จากนั้นก็มารับษาต่อที่โรงพยาบาลค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์หนึ่งคืนพอเช้ามาทางค่ายจิรประวัติก็ให้กลับมาพักที่บ้าน
ส่วนการมาเป็นทหารที่อายุเพียง 18 ปีนั้นเรียน อยู่นั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านไร่วิทยา และเพียงอีก 2 เดือนก็จะเรียนจบแล้ว จากนั้นก็สมัครทหารด้วยความเต็มใจทางออนไลน์เพื่อไปฝึกทันทีเลย เพราะการทหารเป็นใฝ่ฝันอยากจะเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว และชื่นชอบในอาชีพทหารมาก และพอมีคำสั่งให้ไปรบก็ตกใจเล็กน้อยและไม่คิดว่าจะได้ไป เพราะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ไปหากไม่มีสงคราม ซึ่งฝึกอยู่เพียง 3 เดือน ก็มีโอกาสเข้าสนามรบจริงเลย
อยากฝากถึงเพื่อนทหารที่ยังคงประจำการอยู่ขอให้ระวังตัวให้ดีซึ่งเป็นอะไรที่อธิบายยาก เพราะทหารกับพูชากับทหารไทยวิธีการรบนั้นก็แตกต่างกันแล้ว ทหารกับพูชานั้นยิงมั่ว นึกจะยิงก็ยิงเลยโดยไม่สนเป้าหมายที่กระสุนหรือระเบิดที่จะลงไป และไม่มีการแจ้งเตือนก่อนว่าจะยิง จับปืนได้ก็ยิงเลยทันที ซึ่งช่วงผมโดนสะเก็ดระเบิดทางทหารกับพูชาก็กระหน่ำยิงแหลกเพื่อหวังจะเอาชีวิตทหารที่อยู่ในคูเลต และทางฝั่งเราก็ยิงโต้กลับไปทันทีเช่นกัน และมีความรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้รบเพื่อป้องกันเพื่อปกป้องประเทศชาติ และส่วนตาและยายบอกว่าหากไปไปอีกรอบหนึ่งก็ไม่ห้ามแต่ขอให้ระวังตัวให้ดีเท่านั้นเอง
ส่วนทางนางธิตา แก้วเขียว อายุ 58 ปีได้เปิดใจว่า ภูมิใจมากที่หลานมีโอกาสรับใช้ชาติ และขอขอบคุณผู้ใจบุญที่หลั่งไหลกันมามอบทั้งของและปัจจัยและมาปรับปรุงบ้านให้ และหากมีสงครามเกิดขึ้นอีกก็ยินดีที่หลานจะไปรบอีกครั้ง และรักหลานคนนี้มากเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแล้ว และอยากจะบอกว่าขอให้หลานรับใช้ชาติต่อไป