โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เมื่อนักสันติภาพ ชื่อ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

THE STANDARD

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
เมื่อนักสันติภาพ ชื่อ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

หัวข้อในเนื้อหานี้

  • ความคาดหวังของเวทีสันติภาพ
  • ความคาดหวังของโลก
  • ความคาดหวังของสหรัฐฯ
  • ความคาดหวังของยูเครนและยุโรป
  • อนาคตยูเครน
  • อนาคตสันติภาพ

“หนทางที่ดีที่สุดในการยุติสงครามอันเลวร้ายระหว่างรัสเซียและยูเครนคือ การมุ่งตรงไปที่ข้อตกลงสันติภาพ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ข้อตกลงในการหยุดยิง ซึ่งข้อตกลงเช่นนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่ประสบความสำเร็จ”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(ข้อความโพสต์ใน Truth Social)

“ภารกิจของปฏิบัติการพิเศษทางทหารบรรลุผลสำเร็จ จะด้วยวิธีการทางทหาร หรือไม่ก็ด้วยวิธีทางการทูตเท่านั้น”

Andrei Klishas

สมาชิกรัฐสภารัสเซีย

(ข้อความโพสต์ใน Telegram)

หนึ่งในข่าวใหญ่ในเวทีการเมืองโลก คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘สันติภาพยูเครน’ และเรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่มากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดดเข้ามารับบทเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ (Peace Maker) โดยตรง และใช้สหรัฐอเมริกาเป็นเวทีใหญ่ จนการดำเนินการในครั้งนี้ ทำให้ทรัมป์กำลังกลายเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ (The President for Peace) ตามที่เขากล่าวด้วยความภูมิใจ

บทบาทของทรัมป์ในเวทีสันติภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก เพราะแต่เดิมเราอาจจะคิดว่า ทรัมป์มองเรื่องของสงครามยูเครน ในแบบที่สหรัฐฯ จะเข้ามาแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และทรัมป์อาจจะไม่มีท่าทีในแบบ ‘เอาจริงเอาจัง’ กับความพยายามในการสร้างสันติภาพ

การแสดงออกของทรัมป์ในครั้งนี้ต้องยอมรับว่า ทรัมป์มีความพยายามอยู่พอสมควรในการที่จะผลักดันให้เกิดการยุติสงครามในยูเครน ซึ่งทุกฝ่ายตระหนักดีว่า ‘โจทย์สันติภาพยูเครน’ ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้อย่างง่ายๆ เพราะความต้องการของรัฐคู่ขัดแย้งดูจะสวนทางกันอย่างมาก

แต่ปัญหาในความเป็นจริงคือ ทรัมป์จะทำให้สำเร็จตามที่เขาฝันจะเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ ได้เพียงใด?

ความคาดหวังของเวทีสันติภาพ

ถ้าสันติภาพสำหรับยูเครน หมายถึงการให้ยูเครนสละดินแดนของตนที่รัสเซียยึดครองไว้ตั้งแต่ปี 2014 ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแก่รัสเซียแล้ว หลายฝ่ายในยูเครน ‘อาจไม่ยอมรับ’ สันติภาพในเงื่อนไขเช่นนี้ โดยเฉพาะปีกชาตินิยมยูเครน

ถ้าสันติภาพสำหรับรัสเซีย หมายถึงการให้รัสเซียคืนดินแดนที่ตนยึดครองตั้งแต่ปี 2014 กลับไปให้แก่รัฐบาลยูเครน ผู้นำรัสเซียเองก็คง ‘ไม่อาจยอมรับ’ เงื่อนไขเช่นนี้ได้เลย เช่นเดียวกัน ปีกชาตินิยมรัสเซียก็คงไม่ยอมเช่นกัน เพราะการนำเอาไครเมียกลับมาไว้ในความครอบครองของรัสเซียนั้น ทำให้ประธานาธิบดีปูตินได้รับเสียงสนับสนุนในสังคมรัสเซียอย่างมาก

ปัญหาพื้นฐานของการสร้างสันติภาพยูเครนจึงกลายเป็น ‘ทางคู่ขนาน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนไปโดยปริยาย ความต้องการพื้นฐานใน 2 ส่วนนี้ ไม่อาจบรรจบกันได้เลย และสงครามที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ก็คือภาพสะท้อนของทางคู่ขนานเช่นนี้ที่ไม่บรรจบกันนั่นเอง และเป็นเส้นทางขนานที่ใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางภูมิรัฐศาสตร์

แม้อาจมีประเด็นสืบเนื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ NATO, ปัญหาการวางกำลังของ NATO ในยูเครน, ปัญหาความเป็นกลางของยูเครน, ปัญหาควบคุมอาวุธของกองทัพยูเครน ซึ่งปัญหาเช่นนี้ อาจอยู่ในวิสัยที่สามารถเจรจาต่อรองได้

แต่ปัญหาเรื่องดินแดนมีความชัดเจนว่า เป็นประเด็นที่ ‘ต่อรองได้ยาก’ เพราะต่างฝ่ายต่างมีกระแสชาตินิยมรออยู่ในบ้าน และไม่ยอมรับการต่อรองเรื่องดินแดนอย่างแน่นอน ซึ่งข้อถกเถียงเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามอย่างมีนัยสำคัญในทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ถ้าเช่นนั้น เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างรัสเซียกับยูเครนควรจะอยู่ตรงไหน และใครจะเป็นผู้ลากเส้นแบ่งนี้ ?

ปัญหาความขัดแย้งพื้นฐานในทางภูมิรัฐศาสตร์เช่นนี้ ทำให้เวทีสันติภาพที่ทำเนียบขาวมีความท้าทายอย่างมากว่า ทรัมป์จะดำเนินการเช่นไรที่เวทีนี้จะไม่พังลง เพราะปัญหาข้อขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมได้ของรัฐคู่พิพาท จนอาจต้องกล่าวเป็นข้อสังเกตว่า ความสำเร็จในการสร้างสันติภาพยูเครน ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’

ประเด็นเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่นักเรียนในสาขายุทธศาสตร์ศึกษาถูกสอนเป็นข้อเตือนใจเสมอว่า “การสร้างสันติภาพเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าการสร้างสงคราม” (คำสอนของนักยุทธศาสตร์อย่าง Colin S. Gray) และคำกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่พิสูจน์ในกรณียูเครนเท่านั้น ว่าที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นในกาซา หรือในซูดานใต้ หรือแม้กระทั่งในเมียนมา อันเป็นพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับสงครามอย่างรุนแรงนั้น ก็อธิบายได้จากข้อเตือนใจนี้ไม่แตกต่างกัน

ดังนั้นในท้ายที่สุด คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ในทางยุทธศาสตร์ก็คือ “ทำอย่างไรจึงจะสร้างแรงจูงใจให้รัฐคู่สงคราม เกิดความต้องการในการแสวงหาสันติภาพ?” ซึ่งว่าที่จริงแล้ว แรงจูงใจในการแสวงหาสันติภาพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อผลลัพธ์ที่เกิดในจุดสุดท้ายของสงครามนั้น เป็นสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้อง ‘พึงพอใจ’ (คือเป็น Favorable Outcome) และ ‘ยอมรับ’ ได้ เพื่อที่จะเดินไปสู่การทำข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน

ความคาดหวังของโลก

เมื่อทรัมป์ประกาศการพบกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียที่อะแลสกาในวันที่ 15 สิงหาคม 2025 นั้น ผู้คนดูจะไม่คาดหวังมากนัก และความคาดหวังดูจะแย่ลงไปอีกในวันที่ผู้นำรัสเซียเดินมาถึง ดังปรากฏจากท่าทีของทรัมป์ ตลอดรวมทั้งภาษากายที่หลายคนมีความรู้สึกว่า ผู้นำสหรัฐฯ ‘ปูพรมแดง’ ต้อนรับผู้นำรัสเซีย และเป็นการต้อนรับเต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจผู้นำยุโรปเลย

ก่อนที่การเจรจา 2 ฝ่ายระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับรัสเซียจะเกิดนั้น ทรัมป์พยายามแสดงให้เห็นว่า เขาต้องการให้ได้ผลลัพธ์ของการเจรจาที่มีการ ‘หยุดยิง’ ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง และด้วยความหงุดหงิดกับปัญหาที่ไม่ประสบความก้าวหน้าเท่าใดนักในการผลักดันของสหรัฐฯ จึงทำให้เขาถึงกับขู่ว่า ถ้าไม่ได้ข้อยุติอะไรจากการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่าย โดยที่รัสเซียไม่ให้ความร่วมมือแล้ว ‘เขาจะไม่พอใจ’ อย่างมาก อันอาจนำไปสู่ ‘ผลสืบเนื่องที่เลวร้าย’ (Severe Consequences)

คำขู่ของทรัมป์ทำให้หลายฝ่ายที่ติดตามการเมืองระหว่างประเทศ ต้องติดตามอย่างมากว่า ถ้าปูตินยังมีอาการแข็งขืนที่จะร่วมมือในการแสวงหาทางหยุดยิงแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ จะ ‘กล้า’ ออกมาตรการแซงชั่นรัสเซียมากขึ้นอีกจากระดับที่เป็นอยู่หรือไม่ หรือสหรัฐฯ จะมีมาตรการขู่ในเรื่องอะไรอีก

อย่างไรก็ตาม ในการพบระหว่าง 2 ผู้นำใหญ่ของโลกนั้น ท่าทีของสหรัฐฯ อาจจะดูอ่อนลงอย่างมากจากคำขู่ที่เขากล่าวก่อนหน้านี้ จนฝ่ายที่สนับสนุนยูเครนรู้สึกว่า สหรัฐฯ ยอมรัสเซียมากเกินไปแล้ว แต่ในทางตรงข้าม รัสเซียมองท่าทีเช่นนี้ของทรัมป์ด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่งว่า การเจรจาปัญหาหยุดยิงสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขต่อรองเฉพาะหน้า และผู้นำรัสเซียอย่าง ดมิทรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) ถึงกับกล่าวว่า การพบที่อะแลสกาเป็นการพิสูจน์ว่า การเจรจาสามารถเดินควบคู่ไปกับการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนได้

คำกล่าวอย่างพึงพอใจของเมดเวเดฟนั้น น่าจะทำให้ผู้นำยูเครนและผู้นำยุโรปหดหู่ใจมากกว่า เพราะเท่ากับเป็นสัญญาณว่า ผลการเจรจาที่อะแลสกาคือ การยอมรับให้รัสเซียกระทำกับยูเครนต่อไป และยังเท่ากับการรื้อทฤษฎีการเจรจาสันติภาพว่า ถ้าการรบดำเนินควบคู่ไปกับการเจรจาสันติภาพแล้ว การหยุดยิงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

การพบกัน 3 ชั่วโมงไม่ได้ผิดไปจากความคาดหวังของหลายฝ่าย ที่ไม่ปรากฏข้อยุติที่เป็นรูปธรรม และท่าทีแบบที่แข็งกร้าวของทรัมป์ดูจะถูกพับเก็บไป พร้อมกับคำแถลงของผู้นำสหรัฐฯ ว่า การพบดังกล่าวได้ผลดีอย่างเต็มที่ คือได้ผลแบบ ‘Extremely Productive’ ทั้งที่รัสเซียไม่ต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องใดจากสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันภาพที่เกิดในการเจรจาครั้งนี้คือ ปูตินยังคงยึดถือแนวทางที่จะยุติสงครามด้วย ‘ข้อเรียกร้องสูงสุด’ (Maximalist Demands) ของรัสเซีย พร้อมกับไม่ยอมรับการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดินแดน ประกอบกับการพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นในภาวะที่กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายได้เปรียบในสนามรบ โดยเฉพาะการรุกทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งทำให้ผู้นำรัสเซียเชื่อว่า ตนน่าจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการเจรจามากกว่า เพราะกองทัพรัสเซียกำลังเป็นฝ่ายรุกและได้เปรียบในสนามรบ

ความคาดหวังของสหรัฐฯ

ภาวะเช่นนี้ในทางทฤษฎีชี้ให้เห็นว่า ‘แคลคูลัสสนามรบ’ (Battlefield Calculus) มีส่วนกำหนดทิศทางการเจรจาอย่างมาก เพราะรัสเซียในปัจจุบันมีความได้เปรียบทางทหารเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ยูเครนอ่อนแรงลงในทางทหาร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลอย่างสำคัญจากการขาดการสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐฯ เช่นในแบบยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน รวมถึงท่าทีของทรัมป์ที่ดูจะเป็นมิตรกับรัสเซีย และอาจมีนัยถึงการไม่มีมาตรการกดดันรัสเซียอย่างจริงจังในยุคของทรัมป์

ดังนั้น ในการเจรจาจึงมีข้อมูลปรากฏจากแหล่งข่าวว่า ผู้นำรัสเซียเรียกร้องให้ยูเครนถอนกำลังออกไปจากโดเนตสก์และลูฮันสก์ อันเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน เพื่อแลกกับการยุติสงคราม และดำรงสภาวะทางทหารตามแนวเส้นการควบคุม (Line of Control) จากเส้นแนวรบทางภาคใต้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ถ้าเซเลนสกียอมรับข้อเสนอของปูตินเช่นนี้ รัสเซียพร้อมที่จะประกาศยุติการรุกทางทหารทั้งหมด อันจะส่งผลให้แนวรบทั้งหมดหยุดนิ่งไปด้วย หรือเป็นสภาวะที่เรียกว่า ‘Freeze the Frontline’ เพื่อที่จะไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ความขัดแย้ง

ทรัมป์ดูจะยอมรับแนวทางที่ปูตินเสนออย่างมาก เพราะเขาถึงกับกล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่หยุดเพียงแค่การแสวงหาข้อยุติเรื่องการหยุดยิงเท่านั้น แต่จะเดินหน้าไปสู่ ‘การเจรจาสันติภาพ’ อันจะนำมาซึ่งการยุติสงครามทั้งหมด

ว่าที่จริงแต่เดิมนั้น ทรัมป์เน้นอยู่กับการแสวงหาทางออกด้วยการหยุดยิงมาอย่างต่อเนื่อง แต่จากการคุยที่อะแลสกาครั้งนี้ เขามองไปไกลกว่านั้นแล้ว และเชื่ออย่างมั่นใจว่า การยุติสงครามยูเครนอาจจะอยู่ไม่ไกลมากนัก ผู้นำสหรัฐฯ ดูจะมีความคาดหวังในการเจรจาสันติภาพอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์มองว่า เวทีที่อะแลสกาเป็นความได้เปรียบของรัสเซีย กล่าวคือ ปูตินไม่ได้มีข้อเสนออะไรที่เป็นรูปธรรมให้แก่ทรัมป์ (และให้แก่ยูเครน) แต่อย่างใด และเขากลับได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ และท่าทีของปูตินในประเด็นที่เป็นข้อเรียกร้องของรัสเซียไม่ได้อ่อนลงเลย

ดังนั้นหลายฝ่ายจึงมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เวทีสันติภาพอะแลสกาดูจะเป็น ‘ความสำเร็จของปูติน’ อีกทั้งทรัมป์ยังแก้ปัญหาด้วยการโยนปัญหากลับไปในลักษณะที่ผูกมัดยูเครนว่า หลังจากการคุยที่อะแลสกาแล้ว อนาคตของสันติภาพจะขึ้นอยู่กับเซเลนสกีว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร (“Now, it’s really up to President Zelensky to get it done.” – Trump)

แน่นอนว่าทุกคนที่ติดตามข่าวจะรู้สึกว่าท่าทีเช่นนี้คือ การที่ทรัมป์กำลังโยนภาระที่เป็นปัญหาให้กับเซเลนสกี ขณะเดียวกันก็มีท่าทีที่อ่อนให้กับผู้นำรัสเซียยังเห็นได้จาก ‘ภาษากาย’ ที่แสดงออกอย่างอบอุ่นในการต้อนรับการมาเยือนอะแลสกาของปูติน

กระนั้นก็น่าสนใจในอีกด้าน เพราะทรัมป์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า เขาจะยอมรับแผนสันติภาพของปูตินทั้งหมด

แต่อย่างน้อยภาพจากอะแลสกา ทำให้บรรดาผู้นำรัสเซียเชื่ออย่างมากว่า ฝ่ายเขาต่างหากที่กำลังเป็นฝ่ายชนะในเวทีการเมือง ดังคำกล่าวที่ว่า “ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พวกเขา [หมายถึงฝ่ายต่อต้านรัสเซีย] บอกกับทุกคนว่า รัสเซียถูกโดดเดี่ยว แต่ในวันนี้ พวกเขาได้เห็นแล้วถึงการปูลาดพรมแดงอันสวยงาม เพื่อต้อนรับประธานาธิบดีรัสเซียในสหรัฐฯ” (คำกล่าวของมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย)

ความคาดหวังของยูเครนและยุโรป

ฉะนั้น ทางออกของทำเนียบขาวหลังจากการประชุมที่อะแลสกา ที่ผู้นำรัสเซียอาจไม่ค่อยเห็นด้วยและพอใจมากนักคือ ทำเนียบขาวจะเปิดเวทีสันติภาพยูเครนอีกแบบ และเป็นในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ทรัมป์ตัดสินใจจัดประชุมในระดับผู้นำสูงสุดระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครน และยุโรปในวันที่ 18 สิงหาคม ซึ่งผู้นำยุโรปที่เข้าร่วมการประชุมที่ทำเนียบขาวในครั้งนี้ ได้แก่ผู้นำจาก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ ผู้นำสหภาพยุโรป และเลขาธิการ NATO (รวมถึงผู้นำยูเครนด้วย) ซึ่งต้องถือว่า เป็นการชุมนุมใหญ่ในปัญหาสงครามยูเครนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

การเปิดเวทีเช่นนี้ในทางหนึ่ง จะช่วยป้องกันไม่ให้ทรัมป์ถูกวิจารณ์ว่า สหรัฐฯ ดำเนินการทุกอย่างที่เสมือนกับการ ‘บังคับ’ ให้ยูเครนต้องยอมแพ้ คือเป็น ‘Coercive Diplomacy’ ของทรัมป์ในการแก้ปัญหายูเครน ซึ่งหากยูเครนยอมสละดินแดนแล้ว ก็จะเป็นการง่ายที่จะดึงรัสเซียให้ยอมรับเงื่อนไขการหยุดยิง และอาจนำไปสู่การทำความตกลงสันติภาพในอนาคต

ต้องยอมรับว่า การพบระหว่างผู้นำของสหรัฐฯ กับผู้นำยูเครนในครั้งนี้ แตกต่างจากเมื่อครั้งที่ผู้นำทั้ง 2 พบกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเป็นช่วงต้นที่ทรัมป์เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง การพบในครั้งนั้นแทบจะเป็นเสมือนกับ ‘หายนะทางการทูต’ สำหรับยูเครน เพราะดูจะเป็นภาพของการขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกี ปรากฏไปทั่วโลก จนกลายเป็นความกังวลอย่างมากกับผู้นำของยุโรปตะวันตก

ในสถานการณ์เช่นนี้ ยุโรปมีความกังวลอย่างมากว่า ทรัมป์อาจจะหันไปสนับสนุนรัสเซียเต็มที่ พร้อมกันนี้ก็อาจมีนัยถึง การทิ้งยูเครนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะภาพที่เห็นถึง ‘การทะเลาะ’ กันของผู้นำ ที่ปรากฏผ่านเวทีสื่อระหว่างประเทศ พร้อมกับคำวิจารณ์ของทรัมป์ต่อผู้นำยูเครนอย่างรุนแรงว่า เซเลนสกีกำลัง ‘ท้าพนันกับสงครามโลกครั้งที่ 3’ และสำทับด้วยคำขู่ว่า ทางเลือกมี 2 ทางสำหรับยูเครน คือ “จะยอมดีล หรือจะให้สหรัฐฯ ถอนตัว” ออกไปจากปัญหานี้

สภาวะทางการทูตเช่นนี้ ทำให้หลายคนที่เฝ้ามองสงครามยูเครนถือว่า การพบที่ทำเนียบขาวระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นดัง ‘หายนะทางการทูต ของยูเครนในทางการเมือง ดังภาพที่ทูตยูเครนประจำวอชิงตัน ดี.ซี. นั่งเอามือกุมศีรษะตัวเองในระหว่างการแถลงของผู้นำ 2 ประเทศดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การบังคับทางการทูตของสหรัฐฯ ต่อยูเครนอย่างที่หลายฝ่ายทราบมาโดยตลอดคือ แนวทาง ‘การแลกดินแดน’ (Land Swaps) ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ดังที่กล่าวแล้วว่า การเจรจายุติหยุดยิงบนเงื่อนไขที่ยูเครนต้องสละการควบคุมดินแดนทั้งไครเมียและดอนบาสนั้น น่าจะเป็นทางเลือกที่ผู้นำยูเครนหรือสังคมยูเครน ‘ไม่อาจยอมรับได้’ ซึ่งท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่เซเลนสกีพยายามสื่อสารมาโดยตลอดว่า ยูเครนจะไม่รับเงื่อนไขนี้

สำหรับยุโรปแล้ว การทำจัดระเบียบด้านดินแดนใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้น จะมีนัยอย่างสำคัญกับ ‘การจัดระเบียบทางภูมิรัฐศาสตร์’ ของยุโรปในอนาคต เนื่องจากความพ่ายแพ้ของยูเครนจะเป็นปัญหาภัยคุกคามที่สำคัญสำหรับยุโรปในฝ่ายตะวันตก ทั้งยังกลายเป็นโอกาสโดยตรงให้รัสเซียขยายบทบาทมากขึ้นในยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นในบริบทของรัฐบอลติก ฟินแลนด์ โปแลนด์ ตลอดรวมถึงในกรณีของจอร์เจีย และมอลโดวาอีกด้วย

ผลของการพบที่วอชิงตัน ดี.ซี.ในครั้งนี้ ดูจะเป็นการถ่วงดุลกับภาพที่ออกมาจากอะแลสกาอย่างมาก เพราะแสดงออกในอีกแบบว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ทิ้งยุโรปไปทั้งหมด แม้ว่าทรัมป์จะมีปัญหากับผู้นำเหล่านี้ในปัญหาภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ก็ตาม และในอีกทางหนึ่ง ก็แสดงว่าทรัมป์ยังพร้อมจะเข้ามาเป็น “ผู้กำหนดเกม” ในปัญหาสงครามยูเครน

สำหรับยูเครนแล้ว บรรยากาศที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันที่ 18 สิงหาคม ‘อบอุ่นกว่าและดีกว่า’ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์อย่างมาก และอย่างน้อยสำหรับผู้นำยูเครนแล้ว เขาสามารถเดินทางกลับกรุงเคียฟได้ด้วยความรู้สึก ‘พึงพอใจ’ มากขึ้นหลังจากการพบระหว่างทรัมป์กับปูตินที่อะแลสกา เนื่องจากการพบดังกล่าว ตลอดรวมถึง ‘ภาษากาย’ ของทรัมป์ที่มีต่อปูตินนั้น ดูจะไม่เป็นบวกกับอนาคตของยูเครนเท่าใดนัก

อนาคตยูเครน

การพบระหว่างผู้นำที่วอชิงตัน ดี.ซี. ดังที่กล่าวแล้วนั้น ได้ข้อยุติที่ผู้นำรัสเซียอาจจะไม่พอใจเท่าใดนัก และอาจรวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้

  • ผู้นำสหรัฐฯ เสนอที่จะเป็นผลักดันให้เกิดการ ‘ประชุมสูงสุด 3 ฝ่าย’ (Trilateral Summit) ในการแก้ปัญหายูเครนคือ สหรัฐฯ รัสเซีย และยูเครน

  • ทรัมป์ยืนยันกับเซเลนสกีว่า สหรัฐฯ จะเป็น ‘ผู้ค้ำประกันความมั่นคง’ ของยูเครนเพื่อที่จะยุติสงครามกับรัสเซีย (แม้ว่ารายละเอียดในส่วนนี้จะยังไม่มีความชัดเจนก็ตาม)

  • ผู้นำสหรัฐฯ เปิดช่องในปัญหาความมั่นคงของยูเครนว่า ยุโรปจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยในอนาคต

  • เซเลนสกีกล่าวว่า เอกสารเรื่องการค้ำประกันความมั่นคงของยูเครนจะดำเนินการภายใน 7-10 วันข้างหน้า

  • ยูเครนเสนอที่จะใช้งบประมาณในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 90 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า การพบระหว่างปูตินและเซเลนสกีจะเกิดที่ฮังการี และผู้นำเยอรมันกล่าวเพิ่มเติมว่า การพบครั้งนี้จะเกิดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

  • เซเลนสกีมองผลของการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นการ ‘ก้าวไปข้างหน้าครั้งสำคัญ’ (A Major Step Forward) และเขายังถือว่าการมาประชุมร่วมกันของผู้นำฝ่ายตะวันตกในครั้งนี้ว่าเป็น ‘สัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพ’ ครั้งสำคัญของยุโรป

  • ที่ปรึกษาของผู้นำรัสเซียกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการยกระดับของผู้แทนของ 2 ประเทศในการพบกันในอนาคต ซึ่งมีนัยถึงการเจรจาโดยตรงระหว่างผู้นำรัสเซียและยูเครน

น่าสนใจอย่างมากกับแนวโน้มในอนาคตที่จะเกิดจากการประชุมทั้งที่อะแลสกาและวอชิงตัน ดี.ซี. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าการประชุมที่อาจจะก้าวข้ามจาก ‘การหยุดยิง’ ไปสู่ ‘การเจรจาสันติภาพ’ ตามที่ทรัมป์เสนอเป็นจริงแล้ว เราอาจจะต้องยอมยกให้ทรัมป์ว่าเป็น ‘นักสันติภาพ ในยุคสมัยปัจจุบัน รวมถึงมีนัยว่า ทรัมป์อาจเป็นผู้ที่ถูกเสนอชื่อในฐานะผู้แข่งขันชิง ‘รางวัลสันติภาพโนเบล’ อีกด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง ก็น่าสนใจอย่างมากว่า ข้อเสนอเรื่องดินแดนจะเป็นเงื่อนไขของการเจรจาสันติภาพของรัฐคู่ขัดแย้งหรือไม่ เพราะดังที่กล่าวในข้างต้นแล้วว่า ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายเสียดินแดนให้ใคร (ปัญหา Land Swap) แต่ปัญหาคือ การเจรจาที่เกิดขึ้นจะมีข้อกำหนดอย่างไรกับดินแดนที่อยู่ในเงื่อนไขสงคราม

ส่วนการเข้าเป็นสมาชิกของ NATO ของยูเครนนั้น สหรัฐฯ อาจมีทางออกด้วยการทำข้อตกลงด้านความมั่นคงในแบบ ‘มาตรา 5 ของ NATO’ แต่ก็จะไม่อนุญาตให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก เพื่อป้องกันความบาดหมางกับรัสเซีย จนกลายเป็นปัญหาที่เจรจาไม่ได้

การออกข้อกำหนดให้มี ‘การค้ำประกันด้านความมั่นคง’ แก่ยูเครนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้นำยูเครนมีความต้องการอย่างมาก เพราะหากสหรัฐฯ เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันให้ยูเครนโดยตรงแล้ว การกระทำเช่นนี้ก็จะเป็นการ ‘ป้องปราม’ ภัยคุกคามของรัสเซียในอนาคตด้วย แม้ว่าการค้ำประกันเอกราชของยูเครนในปี 1994 จะล้มเหลวไปแล้วก็ตาม ซึ่งการค้ำประกันในครั้งนั้นมีทั้ง สหรัฐฯ รัสเซีย และอังกฤษ เป็นผู้ลงนามด้วย

อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่สำคัญ 2 ส่วนของรัสเซียคือ การไม่ต้องการให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของ NATO และการไม่ยอมให้มีการนำกำลังทหารของ NATO (NATO Troop) เข้ามาประจำการในยูเครน แม้รัสเซียจะยอมให้เกิดการเจรจาปัญหาสันติภาพยูเครนในแบบพหุภาคีก็ตาม แต่รัสเซียจะไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของอังกฤษเท่าใดนัก เพราะผู้นำรัสเซียมองว่า อังกฤษเป็นผู้บ่อนทำลายความพยายามในการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ และรัสเซีย

อนาคตสันติภาพ

แต่ทั้งหมดนี้ ยังอยู่ในระดับของแผนการที่เป็นความคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต เพราะในท้ายที่สุดแล้ว คงต้องยอมรับว่า ผลของการประชุมมีแนวโน้มที่ดีกับการสร้างสันติภาพยูเครน แต่สันติภาพก็ดูจะยังอยู่ห่างไกลอีกพอสมควร ประกอบกับผลจากการประชุมนั้น ยังไม่มีความเป็นรูปธรรมให้เวทีระหว่างประเทศได้มั่นใจมากนัก

บางทีในวันนี้ เราอาจต้องสรุปว่า สันติภาพยูเครนยังคงมีสภาพเป็นอาการ ‘ลื่นแบบปลาไหล’ ถ้าเทียบเป็นสำนวนการเมืองไทยแล้วคงต้องกล่าวว่า สันติภาพยูเครนเป็น “ปลาไหลใส่สเก็ต” คือ ยังจับให้มั่นไม่ได้เลย

ทั้งหมดนี้ บอกแก่เราอย่างเดียวว่า “Ukraine Peace is Elusive!”

แฟ้มภาพ: Getty Images / Shutterstock

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

ผบ.ทอ. ย้ำไม่มีข้อห้ามใช้ Gripen ต่อสู้โจมตี ยืนยันใช้ปกป้องประเทศได้ แต่ต้องยึดหลักสากล

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

iLaw เปิดรายชื่อผู้ช่วย สว. ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ หลังอุทธรณ์คำสั่งเลขาธิการวุฒิสภาที่ไม่เปิดเผยในรอบแรก

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

จับตา "2 คดีใหญ่" พ่อลูกชินวัตร กับจุดเปลี่ยนการเมือง

Thai PBS

ตีแผ่ปัญหาประชาชนไร้ที่ทำกินบุกรุกที่ดินรัฐ ตอนที่ 3

สำนักข่าวไทย Online
วิดีโอ

ผลกระทบปิดพรมแดน คาดเสียหายเดือนละ 8,200 ล้านบาท

Thai PBS

ไทยเซ็นซื้อ Gripen E/F 4 ลำแรก 1.95 หมื่นล้าน ผบ.ทอ.ย้ำใช้ได้ทุกภารกิจเพื่อปกป้องประเทศ

The Better

กิตติ แฉ พระอลงกต หนีทหาร! เหตุสวมชื่อคนอื่นบวชพระ เผยมีหลักฐานชัด

Khaosod
วิดีโอ

กต.ชี้ MOU2543 ยังจำเป็น เพื่อใช้แก้พิพาทไทย-กัมพูชา

Thai PBS

ธ.กรุงเทพ อายัดบัญชี “พระอลงกต” พบใช้เลข 13 หลัก ผู้เสียชีวิตเปิดบัญชี

สำนักข่าวไทย Online

กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์ แปะป้าย! ทั่วมหาวิทยาลัย รูป “กุ้ง” ยืนบนซากศพทหาร!!

TOJO NEWS

ข่าวและบทความยอดนิยม

T-Beauty กำลังแซง K-Beauty เมื่อแบรนด์ไทยท้าชิงบัลลังก์ความงามโลก

THE STANDARD

ส่งออกไทยขยายตัว 11% ในก.ค. บวก 13 เดือนติด ทิ้งทวนเดือนสุดท้าย ก่อนภาษีทรัมป์มีผล? กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเป้าปีนี้

THE STANDARD

‘อย่ามีลูกเร็ว’ สู่ยุคที่ ‘มีลูกไม่ไหว’ กับดักนโยบายที่อเมริกาสร้างเอง เมื่อความพร้อมทางการเงินและชีวิตที่มั่นคงสูงเกินเอื้อมสำหรับคนรุ่นใหม่

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...