ตลาดที่นอนไทยโตหมื่นล้าน Simmons ปรับกลยุทธ์เปิดแฟลกชิป “Simmons Gallery ทองหล่อ”
การนอนหลับที่ดีคือพื้นฐานของการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เป็นต้นกำเนิดของมวลรวมสุขภาพทั้งหมด แต่ผลสำรวจพบว่านับวันๆ ผู้คนล้วนมีปัญหาในการนอนสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นภาวะนอนหลับยาก นอนไม่หลับเรื้อรัง
แน่นอนว่าพูดถึงการนอนก็ต้องมาคู่กับที่นอน ที่เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ผู้คนให้ความสำคัญมากขึ้น มาดูสถิติในประเทศไทยกัน รายงาน Metastat Insight ปี 2024 ระบุว่า ตลาดที่นอนในไทยมีมูลค่ามากถึง 488.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 15,800 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 4.5% ต่อปี ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2031 เลยทีเดียว
นอกจากกระแสรักสุขภาพแล้ว ตลาดยังได้แรงหนุนจากการขยายตัวของ โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี และการเติบโตของอุตสาหกรรมโรงแรม ทำให้ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะ แบรนด์พรีเมียมและลักชัวรี เข้ามาลงสนามแข่งขันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในนั้นคือ แบรนด์ซิมมอนส์แบรนด์ที่นอนพรีเมียมอายุมากกว่า 150 ปี ที่รุกขยายตลาดในประเทศไทย เปิดตัว “Simmons Gallery ทองหล่อ”ยกระดับประสบการณ์การนอนระดับพรีเมียม พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในตลาดอาเซียน
จากมุมมองของ‘อาลอยเซียส ชิว’ ผู้จัดการทั่วไป (ธุรกิจภูมิภาค) ของ Simmons SEA Pte Ltd มองว่า ตลาดที่นอนลักชัวรีในไทยมีกลุ่มผู้บริโภคที่ยอมจ่ายตั้งแต่ราคา 30,000 บาทขึ้นไป โดยให้ความสำคัญกับ ความสบาย ความทนทาน ดีไซน์สวยงาม และต้องเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่มีพื้นที่อยู่อาศัยกะทัดรัด
ด้านซิมมอนส์จึงปรับกลยุทธ์ให้ครอบคลุมทั้ง กลุ่มลูกค้าหลักๆ คือ ลูกค้าปลีก B2C และ ธุรกิจโรงแรม B2B ผ่านการเปิดแฟลกชิปสโตร์ Simmons Gallery ทองหล่อ ถูกออกแบบให้รองรับทั้งลูกค้ารายบุคคลและโรงแรม
และหยิบจุดแข็งด้านเทคโนโลยีเฉพาะ เช่น โครงสร้างสปริง Simmons Original Pocketed Coil ซึ่งใช้เหล็กกำลังดึงสูง (High-tensile strength steel) ออกแบบเป็นทรงถัง (Barrel Shape) เพื่อรองรับน้ำหนักได้สูงสุด และผ่านการอัดล่วงหน้า (Pre-compressed) เพื่อลดการเสื่อมและเพิ่มความยืดหยุ่น
สปริงแต่ละตัวถูกห่อด้วยวัสดุ Spun-bond หรือ Lock-tuft ที่ทนการฉีกขาดและไม่หดตัว เชื่อมต่อกันตรงกลางด้วยกระบวนการ Hot Melting Bond Process ทำให้สปริงทำงานอิสระ และยังช่วยสร้างเทคโนโลยี Do-Not-Disturb ลดแรงสั่นสะเทือนรบกวนในขณะนอน โดยการอัดลวดขนาด 28 ซม. ให้เหลือเพียง 17 ซม. ก่อนบรรจุลงห่อ ทำให้มี “Working Wire” มากขึ้น ช่วยกระจายน้ำหนักและรองรับสรีระได้ดียิ่งขึ้น
โดยในแฟลกชิปฯ จัดแสดงที่นอนกว่า 15 รุ่น รวมถึงการเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่ประกอบในประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าและตอบสนองดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ Beautyrest Prime & Platinum Series (Accessible Luxury เริ่มต้นราว 65,000 บาท) และ BeautySleep Essential Series (รุ่นเริ่มต้นราว 25,000 บาท)
ขณะที่รุ่นไฮเอนด์อย่าง Beautyrest Black และ BackCare ยังคงนำเข้าจากญี่ปุ่นด้วยราคาตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป
และทำการตลาดในแต่ละประเทศผ่านแคมเปญอย่าง “Beautyrest 100 – Advance Your Sleep” ซึ่งเน้นแก้ปัญหาการนอนน้อยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ในเมือง
นอกจากนี้ ซิมมอนส์มีโรงงานในไทย ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นด้านการผลิตและการจัดส่งสินค้า และยังใช้เครือข่ายร้านค้าพิเศษและพันธมิตรค้าปลีกในหลายประเทศควบคู่กับความร่วมมือกับโรงแรมหรู
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2024 ซิมมอนส์ครองส่วนแบ่งตลาดที่นอนพรีเมียมในไทยประมาณ 6.5% ด้วยยอดขายกว่า 1,030 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโต 25% ต่อปี เพื่อก้าวขึ้นติด 3 อันดับแรกของตลาดไทยใน 5 ปี