ศึกชิง ‘ดุสิตธานี’ ‘ชนินทธ์’แตกหัก ไล่ฟ้อง 2 น้องสาว ถอดถอนไม่ชอบด้วยกฏหมาย
ศึกสายเลือดทายาทดุสิตธานี 2 ขั้ว ระหว่างนางสินี เธียรประสิทธิ์ (ลูกสาวคนโต), นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (ลูกสาวคนเล็ก) กับ นายชนินทธ์ โทณวณิก (พี่ชายคนโต) ทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ถึงขั้นแตกหักนำไปสู่การถอด “ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกจากการมีอำนาจใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568
กลุ่มนางสินีและนางสุนงค์ได้แต่งตั้งทายาท 2 คน คือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ เข้าเป็นกรรมการใหม่ในบริษัท ชนัตถ์และลูก และกดดันให้ดุสิตธานีจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 26 กันยายน 2568 เพื่อถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการ บมจ.ดุสิตธานี
ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งมรดกไม่ลงตัว มาตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งมรดกมี 3 ส่วน ได้แก่ บริษัท ชนัตถ์และลูก (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัท ปิยะศิริ (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง (พัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)
ฝั่งนายชนินทธ์อ้างว่าช่วงโควิดเดิมตกลงกันให้นายชนินทธ์ได้หุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูกเพื่อดูแลดุสิตธานี ขณะที่น้องสาว 2 คนได้หุ้นในอีก 2 บริษัทที่เหลือ และนำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยให้เท่าเทียมกัน เนื่องจากในช่วงโควิดธุรกิจโรงแรมย่ำแย่ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจ หลังจากโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มีทิศทางการสร้างรายได้ที่ดี
นายชนินทธ์จึงยื่นฟ้องนางสินีฯ และนางสุนงค์ฯ เมื่อปี 2566 ต่อศาลขอให้บังคับโอนหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ให้แก่ตนเองแต่ผู้เดียว แต่ศาลยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการประชุมผู้จัดการมรดกระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองดำเนินมาถึงเพียงขั้นตอนกำหนดแนวทางและวิธีการแบ่งทรัพย์มรดก” และอีกตอนหนึ่ง “แต่เกิดความขัดแย้งเสียก่อนทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ดัง
ขณะที่ฝั่งน้องสาว 2 คนปฏิเสธเรื่องการยกหุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูก และโต้ว่าไม่เป็นไปตามที่นายชนินทธ์ กล่าวอ้าง
สำหรับบริษัท ชนัตถ์และลูก นายชนินทธ์ ถือหุ้น 25.4% นางสินี ถือหุ้น 26.57% นางสุนงค์ ถือหุ้น 21.62% และท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (กองมรดก) ถือหุ้น 24.99%
หลังจากนั้นน้องสาวได้จับมือกันเดินเกมถอดถอนนายชนินทธ์ออกจากการมีอำนาจใน บริษัท ชนัตถ์และลูก ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นคดีความที่มีการฟ้องกันอยู่ในศาลหลายคดี หนึ่งในประเด็นฟ้องร้องสำคัญคือนายชนินทธ์ได้ฟ้องน้องสาวที่ใช้สิทธิถอดถอนตนเองออกจากกรรมการโดยไม่ชอบ
คดีสำคัญคือนางสุนงค์ มาร่วมโหวตถอดถอนนายชนินทธ์ ทั้งๆที่หุ้นของนางสุนงค์ถูกโอนไปยัง MFC เนื่องจากเป็นภรรยาของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งทางกฎหมาย แต่ต่อมา MFC Trust แจ้งว่าการโอนหุ้นไม่ชอบ เนื่องจากมีข้อบังคับห้ามขาย จึงคืนหุ้นให้นางสุนงค์
ไม่ว่านางสุนงค์จะอ้างว่าโอนหุ้นหรือไม่โอนหุ้น ก็มีปัญหาทางกฎหมาย เพราะถ้าไม่ได้โอน นางสุนงค์ก็ผิด และสามีคือนายพีระพันธุ์จะมีความผิดฐานให้ข้อมูลเท็จต่อ ป.ป.ช. ถ้าโอนได้แล้ว นางสุนงค์ก็จะไม่มีอำนาจใช้หุ้นนั้นมาโหวตปลดนายชนินทธ์
ประเด็นการฟ้องร้องนางสินี ที่เป็นกรรมการบริษัทดุสิตธานีตลอด 10 ปีอนุมัติในทุกเรื่อง แต่พอเข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้น กลับไม่อนุมัติงบการเงินรวมถึงการตั้งกรรมการชุดเดิมที่หมดวาระ
ความขัดแย้งยังโยงไปถึง “กลุ่มเซ็นทรัล” ซึ่งมีการวิตกว่าจะเทคโอเวอร์กิจการ เพราะหลังจากดุสิตธานีร่วมทุนกับเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ในโครงการดุสิตเซ็นทรัล พาร์ค เมื่อเดือนพ.ค. 2561 กลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาซื้อหุ้นในบมจ.ดุสิตธานี สูงถึง 22% เหลืออีก 3% ก็จะถึง 25% สามารถทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ได้ จึงตกลงเจรจาขอให้ลดสัดส่วนหุ้นลงครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้ส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการดุสิตธานี เนื่องจากมีธุรกิจทับซ้อนกันทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ต่อมาดึง บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ มาซื้อหุ้นออกไป 5% ยังเหลืออีก 7% แต่ไม่ยอมขาย ปัจจุบัน CPN มีหุ้นอยู่ 17%
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตุว่ากลุ่มเซ็นทรัลเป็นตัวแปรสำคัญในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะ CPN เลือกงดออกเสียงในการประชุมพิจารณางบการเงินดุสิตธานี ปี 2567 รวมถึงในการประชุมวิสามัญ 26 ก.ย.68 CPN ก็เสนอส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการดุสิตธานี
ในวันที่ 26 ก.ย. นี้ นอกจากวาระถอดถอน “ชนินทธ์” และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซีอีโอ DUSIT ออกจากอำนาจกรรมการในการกระทำการแทนบริษัท จากเดิมที่กรรมการ 2 ใน 3 คน คือนายชนินทธ์, นางสินี, นางศุภจี สามารถลงลายมือชื่อร่วมกันได้ เปลี่ยนเป็นกรรมการ 2 ใน 3 คน คือ นางสินี, ดร. กฤษดา กวีญาณ, และ นายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์
ทำให้เกิดความวิตกการดึงคนนอกเข้ามาอำนาจ เพราะแต่เดิมมีคนในครอบครัว 2 คนมีอำนาจลงนาม แต่จะปรับมาเป็นดึงคนนอก 2 คนเข้ามา หากนางสินีมีปัญหาก็จะหลุดออก เท่ากับเปิดทางให้คนนอกกุมอำนาจเต็มตัว การดึงชื่อนางศุภจี ออกจากการลงนามทั้งๆที่เป็นซีอีโอ ก็เป็นการตัดมือตัดเท้าในการบริหาร รวมถึงมีการเสนอตั้งกรรมการใหม่เพิ่มอีก 10 คน
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าในการประชุมผู้ถือหุ้นทั้งนายชนินทธ์ และ นางศุภจี ก็มีโอกาสพ่ายแพ้ เพราะกว่าคดีต่างๆที่มีการฟ้องร้องกันถึงความไม่ชอบในการถอดถอนนายชนินทธ์ กระบวนการทางกฎหมายก็ต้องใช้เวลา
หากศาลตัดสินต้นทางการถอดถอนไม่ชอบ ต้นทางที่ทายาทสาวดำเนินการทั้งหมดก็ถือว่าไม่ถูกตั้งแต่ต้นทาง และท้ายสุดนายชนินทธ์ ในฐานะผู้ถือหุ้นชนัตถ์และลูก ก็คงไม่ยอมให้กรรมการใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจใหม่ที่จะเกิดขึ้น มาทำอะไรให้ดุสิตธานีเสียหาย การฟ้องร้องก็คงลากต่อไปถึงบุคคลต่างๆที่เข้ามาสู่วงความขัดแย้งนี้
อย่างไรก็ตาม เป็นธรรมดาที่ CPN จะไม่ขายหุ้นที่ถือในดุสิตธานีออกไป และอาจจะซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ เช่นเดียวกันคงไม่มีใครยอมปล่อยมือในบริษัทชนัตถ์และลูก เพราะข้ออ้างของการพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานของดุสิตธานีในครั้งนี้ เนื่องจากดุสิตธานีไม่ได้จ่ายเงินปันผลมานานกว่า 5 ปี และมียอดขาดทุนสะสมกว่า 1,254 ล้านบาท เป็นเรื่องในอดีต เพราะในปีหน้าดุสิตธานี จะมีกำไรราว 2-3 พันล้านบาทจากการขายโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ที่มียอดขายกว่า 93% โดยขายได้แล้วกว่า 17,000 ล้านบาท ที่รอรับรู้รายได้ในปีหน้า รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมหลังโควิด