การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ! ‘เบทาโกร’ แนะภาคธุรกิจพึ่งตัวเอง-รุกตลาดโลก
ดร. ภณธกร วงศ์เจริญ กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหารเครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในมุมมองของผู้ประกอบการที่มีต่อปัญหาทางการเมือง ไม่ว่าประเทศไทยจะมีการเมืองแบบไหนหรือใครเป็นรัฐบาล ก็ไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้มากนักในปัจจุบัน
เนื่องจากพื้นฐานของจำนวนประชากรไทยไม่เติบโต ยังคงอยู่ในระดับจำนวนเฉลี่ย 66 ล้านคนมานานหลายปีแล้ว และอัตราการเสียชีวิตมากกว่าอันตราการเกิด หากประเทศไทยอยากเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จะต้องพึ่งพาตลาดในต่างประเทศมากกว่า แน่นอนว่าการสร้างธุรกิจหรือหาตลาดในต่างประเทศ ยังคงเป็นหน้าที่หลักของผู้ประกอบการโดยตรง น้อยมากที่พึ่งพารัฐบาลได้ เพราะการเมืองของไทยขาดเสถียรภาพ
โดยภาครัฐทั้งรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของประเทศไทศเปลี่ยนแปลงบ่อย นโยบายก็เปลี่ยนตามไปด้วย สถานการณ์ไม่มีความแน่นอน เมื่อต้องเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงไม่ต่อเนื่องราบรื่นมากนัก สะท้อนไปถึงความน่าเชื่อถือในการบุกเบิกเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ
ดร. ภณธกร กล่าวว่า ภาพรวมของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่างๆ ส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนหาตลาดด้วยตัวเองและไม่มีรัฐบาลเข้ามาช่วย หากเป็นรายใหญ่จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่หากเป็นผู้ประกอบการรายเล็กระดับกลางลงไปจนถึงรายย่อยที่สายป่านยังไม่ยาวหรือเงินลงทุนน้อย ต้องมีความพยายามสูงและเหนื่อยมาก การออกไปหาตลาดต่างประเทศเพื่อรับออร์เดอร์ต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และในกรณีนี้ก็จำเป็นต้องมีภาครัฐเข้ามาช่วย
ดังนั้น อาจมองได้ว่าเรื่องการเมืองส่งผลกระทบในหลากหลายธุรกิจ แต่ในภาคธุรกิจอาหารยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ค่อยหยิบยกมาเป็นประเด็น โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าอาหารส่งออกไปต่างประเทศ ยกเว้นในกรณีที่สำคัญจริงๆ เช่น การเจรจาเรื่องภาษีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยยังคงขาดเสถียรภาพทางการเมืองต่อไป ผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆ จะต้องพึ่งพาตัวเองและอยู่รอดให้ได้ อย่างน้อยต้องมี 3 แนวทาง คือ
- ต้องมองตลาดให้ออก แล้วหันมองศักยภาพของตัวเราเอง เพื่อพัฒนาให้แข่งขันได้ในตลาดโลก
- ต้องอยู่ให้รอดด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดต้นทุน การใช้ AI เทคโนโลยีต่างๆ
- ทำ R&D วิจัยและพัฒนา ฉีกกรอบออกจากตลาดเดิม สร้างโอกาสใหม่ด้วยตัวเองเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไป
“ในฐานะหนึ่งในตัวแทนของผู้ประกอบการและอยู่ในสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทยด้วย ไม่มีความกังวลมากนักเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เพราะภาคธุรกิจจะต้องเดินหน้าต่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะด้านอาหารที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แต่ถ้าให้ดีการขับเคลื่อนประเทศไทยในความคิดเห็นส่วนตัวควรมีภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคการศึกษา ทำงานร่วมกันทั้ง 3 ส่วน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังประชาชนผู้บริโภค Voice of Custome จึงจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด”