เอกชนฟาดการเมือง ทุบเศรษฐกิจซํ้าซาก จับตาจีดีพี Q4 อ่วม หนุนยุบสภาสู่โหมดเลือกตั้ง
การเมืองไทยถึงจุดเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง หลัง “แพทองธาร ชินวัตร”ต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลายเป็นรัฐมนตรีรักษาการ เส้นทางการเมือง ณ เวลานี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่มีหลายฉากทัศน์ที่ผู้คนจับตา เช่น การจับขั้วการเมืองเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อไปสู่การฟอร์ม ครม.ชุดใหม่ ขึ้นมาบริหารประเทศต่อไปอีกเกือบ 2 ปีนับจากนี้ และอีกทางหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสหนาหูคือ “การยุบสภา” เพื่อนำสู่โหมดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะออกทางใด จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายมิติ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองแต่เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้ 2.0% ตามที่สภาพัฒน์ประเมิน เพราะการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้กำลังซื้อหรือการใช้จ่ายครัวเรือนจะกลับมา การลงทุนภาครัฐส่วนใหญ่ 90% เป็นงบผูกพันอยู่แล้ว ซึ่งการเลือกตั้งใหม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การมีรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน(กรณีรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนรัฐบาลใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน) มีโอกาสยืดเยื้อได้อีก 1 เดือนหรือ 3 เดือน ทำได้ทางเทคนิค แต่เสี่ยงชนขั้นตอนการจัดทำงบประมาณและการเลือกตั้ง รัฐบาลจะต้องอยู่ในโหมด “รักษาการ” เร็วขึ้น และต้องพึ่งงบฯปีเก่าไปพลางก่อน โครงการใหม่หยุด ชะลอเบิกจ่ายลงทุนบางส่วน
เชียร์ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่
เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชั่วคราวและเป้าหมายสูงสุดนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ในภาพรวมคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่าย ได้รัฐบาลที่ดีมาแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ ๆ อย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.เรื่องคนสำคัญมาก ควรเป็น “รัฐบาลแห่งความเชื่อมั่น” คือเลือกแต่คนมีความสามารถ เป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์ทำงานจริง มาจากภาครัฐหรือเอกชนก็ได้ แต่ต้องเป็นที่ยอมรับและเป็นกลาง ไม่ใช่การแบ่งเก้าอี้ทางการเมือง
2.ต้องการเห็นทีมเศรษฐกิจ มืออาชีพเพิ่มเติม ที่คัดจากความสามารถ มาแก้ปัญหาตรงจุด ปฏิรูปภาษีให้เป็นธรรม เช่น ภาษีลาภลอย ภาษีชาวต่างชาติที่ซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ ปรับการศึกษาให้ตรงกับงานในอนาคต ดึงนักลงทุนต่างชาติ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์กับดิจิทัลของประเทศ
ทั้งนี้หากยุบสภาไม่ได้และต้องมีรัฐบาลชั่วคราวมองว่า เวลา 4 เดือนน่าจะพอแล้วถ้าทำงานจริง เน้นแค่ 3 งานหลัก คือ รักษาเศรษฐกิจให้มั่นคงในระยะสั้น แก้กฎหมายเลือกตั้งให้ดีขึ้น และอย่าไปสร้างโครงการใหญ่ๆ ที่จะไปผูกมัดรัฐบาลหน้า
3.นโยบายเร่งด่วนที่ควรทำทันที แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน ทั้งเจรจาและจัดการแนวชายแดน รวมถึงการแก้แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง และที่สำคัญคือต้องสื่อสารกับประชาชนและนักลงทุนให้ชัดเจน โปร่งใส จะได้กลับมามั่นใจเร็วๆ
หนุนสู่โหมดเลือกตั้ง
สอดคล้องกับนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย สะท้อนว่าควรเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อได้รัฐบาลใหม่ที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชนผ่านการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ โดยต้องแก้ไขปัญหาใหญ่ทางการเมืองเรื่องฮั้ว สว. ให้ชัดเจนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ทางการเมืองในอนาคตและการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่กติกาการเลือกตั้งใหม่ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ควรปรับเขตการเลือกตั้งให้ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อป้องกันการซื้อเสียง
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO กลุ่มบริษัท efrastructure Group ผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซ และนักลงทุนธุรกิจ Startup กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะมีมีอายุการทำงาน 3-4 เดือน แล้วยุบสภา โดยการเมืองและเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ในช่วงสุญญากาศ ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ในฐานะภาคธุรกิจเอกชน มองว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งต้องกัดฟันรอรัฐบาลใหม่ ใน 3-4 เดือนข้างหน้า
ห่วงกระทบเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวปลายปี
นายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย กล่าวว่า ประเด็นการเมืองในกรณีที่อาจมีการยุบสภานั้น ยอมรับว่าความเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนข้างหน้าที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ฤดูกาลไฮซีซัน หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองและต้องมีรัฐบาลรักษาการ อาจทำให้การสื่อสารกับผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวขาดความชัดเจน ส่งผลกระทบต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคกลางคืนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
“ถ้าธันวาคมนี้ภาคอุตสาหกรรมยังไม่เห็นความชัดเจน วิธีการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวยังไม่เป็นรูปธรรม ก็จะทำให้การทำงานลำบากขึ้น ทั้งที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ” นายกวีกล่าว
จีดีพีไทยโตได้แค่ 1.8%
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า หากมีรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศ 4 เดือนก่อนยุบสภา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทย เศรษฐกิจไทยปีนี้จะช้ำพอๆ กัน เพราะช่วงเวลาที่เหลือก่อนยุบนักการเมืองไม่มีจิตใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จะมุ่งเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อชิงความได้เปรียบเป็นหลัก
“ภายใต้ฉากทัศน์รัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนคาดจะส่งผลกระทบทำให้จีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 1.2-1.8% โดยจีดีพีในไตรมาสที่ 4 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการบริโภค การส่งออก และการลงทุน ชะลอตัว”
4 เดือนไม่พอกระตุ้นเศรษฐกิจ
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ และกรอบกติกาที่มีอยู่ ทั้งนี้ประเทศไทยถืออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหม่ ซึ่งเป็นความท้าทายมาก ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้ามาบริหารจัดการ เช่น การเจรจาในรายละเอียดการเปิดตลาดสินค้ากับสหรัฐ การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การจัดการอุทกภัยและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือ SMEs รวมถึงการประสานการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดีหากรัฐบาลชุดใหม่ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน มองว่าเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป ทำอะไรไม่ได้มาก โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่อาจทำได้คือมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอัดฉีดเงินหรือกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังนั้นการมีรัฐบาลที่อยู่ต่อในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง
จี้รัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่น-คุมต้นทุนการผลิต
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควบคุมต้นทุนการผลิต และบริหารประเทศอย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีควรประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ มีวิสัยทัศน์ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ของพรรคหรือกลุ่มใด โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต้องตรงเป้าหมายและโปร่งใส
นอกจากนี้ สรท.เสนอให้รัฐบาลควบคุมต้นทุนสำคัญ เช่น ค่าแรง พลังงาน ค่าไฟ และอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และที่สำคัญรัฐบาลต้องส่งสัญญาณชัดเจนถึงการไม่ยอมรับการทุจริต เพื่อหยุดต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ
เร่งอัดฉีด 1 แสนล้าน ฟื้นเศรษฐกิจ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แรงกดดันจากนโยบายสหรัฐฯ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ ซึ่งต้องอาศัยทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถ ไม่ใช่มือใหม่
ทั้งนี้ภายใน 4 เดือน รัฐบาลต้องมีมาตรการชัดเจน โดยเฉพาะการอัดฉีดงบประมาณ 1 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงการเติบโตที่ต่ำกว่า 1% และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป อีกประเด็นสำคัญคือการดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าภายในประเทศ (เมดอินไทยแลนด์) อย่างน้อย 40% ของงบประมาณ รวมถึงการอัดฉีดงบเพิ่มเติม 4-8 แสนล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ยังเสนอให้เร่งใช้งบสนับสนุนกระทรวงท่องเที่ยวฯ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและขยายตลาดส่งออก โดยตั้งเป้าให้เห็นผลใน 4 เดือน พร้อมเน้นบทบาทของ EEC ที่ไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลในภูมิภาค
รัฐบาลใหม่ต้องมืออาชีพกล้าปฏิรูป
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า หากยุบสภาในช่วงนี้และรัฐบาลรักษาการไปอีกประมาณ 2 เดือน อาจกระทบการใช้งบประมาณปี 2569 และการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีสำคัญอย่าง APEC 2025 ซึ่งต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการดำเนินนโยบายและดึงการลงทุนจากต่างชาติในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม หากเดินหน้าตั้งนายกฯ และรัฐบาลใหม่ได้ทัน ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาชนและนักลงทุน พร้อมเร่งรัดการบริหารงบประมาณให้โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และใช้ทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์จริง ทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะสั้น กลาง และยาว ที่ตอบโจทย์ภาวะโลกและเป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
เชียร์ยุบสภาได้รัฐบาลใหม่เร็ว
ด้านนายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า กรณียุบสภาเลย อาจเป็นทางออกที่ดีที่จะได้รัฐบาลใหม่เร็วขึ้น และสามารถวางแผนระยะยะยาวได้ ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ควรตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ที่มีคนเก่งคนดีในกระทรวงสำคัญ พร้อมวางระบบ Dashboard และทีมที่ปรึกษาหลายเจเนอเรชัน
“ระยะเวลาที่เหมาะสมของรัฐบาลควรจะอยูที่ 6-12 เดือนก่อนยุบสภา เพื่อให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติ หากมีอายุ 4 เดือนอาจจะเกิดปัญหารัฐบาลและข้าราชการเกียร์ว่าง เสียเวลาประเทศ"
ขณะที่นโยบายเร่งด่วน 7 ข้อที่ควรผลักดันทันที ได้แก่
1.แก้วิกฤตความขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้เร็ว ผ่านทุกช่องทาง
2.แก้ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่รากหญ้าถึงองค์กรใหญ่ ด้วยกองทุนเฉพาะด้าน
3.ทบทวนการใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาท ให้คุ้มค่าสูงสุด
4.ปราบคอร์รัปชันอย่างเข้มงวดโดยเปิดให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ
5.ดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่เมืองรอง พร้อมพัฒนาผู้ประกอบการ
6.ส่งเสริมเศรษฐกิจยั่งยืน ดิจิทัล และสุขภาพ เพื่อแข่งในเวทีโลก
และ 7.วางแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง